
9 มีนาคม 2566 ความคืบหน้า กรณี อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยข้อมูลว่า มีการตรวจพบว่าการปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชน ของชายหนุ่มรายหนึ่ง ที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี นำไปใช้ในชื่อต่าง ๆ มากถึง 7 ใบ ในโลกออนไลน์ พร้อมทั้งได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเหตุใด จึงมีบัตรประจำตัวประชาชนปลอมของชายหนุ่มคนดังกล่าว ไปใช้ในการหลอกลวงประชาชน ในการซื้อขายผ่านทางเฟซบุ๊กได้นั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง นายภาคิน สุขประพันธ์ อายุ 33 ปี หนุ่มเจ้าของร้านกาแฟ ที่เป็นผู้ถูกนำบัตรประจำตัวประชาชนไปปลอมแปลง โดยนายภาคิน ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า ไม่ได้เป็นคนปลอมแปลงบัตรประชาชนทั้ง 7 ใบ แต่เชื่อว่า น่าจะมีมิจฉาชีพนำบัตรประชาชนของตนเอง ไปปลอมแปลงแล้วนำไปใช้ ในการหลอกลวงประชาชนมากกว่า
นายภาคิน กล่าวว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ได้เดินทางมายัง สภ.ลาดหญ้า เพื่อเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ พร้อมให้ข้อมูลกับผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริต การทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง ที่ได้ลงพื้นที่มาสอบถามข้อมูลจากนายภาคินด้วยตนเอง
โดยหลังจากเข้าให้ข้อมูลเสร็จเรียบร้อย นายภาคิน ได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า ทราบว่า มีการนำบัตรประชาชนของตนเอง ไปปลอมแปลงเพื่อใช้หลอกลวงประชาชนครั้งแรก เมื่อช่วงเดือนกันยายน 2565 โดยนำไปใช้หลอกโอนเงินมัดจำซื้อขายรถจักรยานยนต์ ในเพจซื้อขายรถมือสองแห่งหนึ่ง
โดยมิจฉาชีพได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เปลี่ยนแปลงชื่อ นามสกุลบนบัตรของตนเอง แล้วนำไปใช้เป็นหลักฐาน ส่งให้กับผู้ที่หลงเชื่อโอนเงินมัดจำมาให้ แล้วเบี้ยวไม่ยอมส่งมอบรถ จนผู้เสียหายไปแจ้งความ และมีการตรวจสอบเลขประจำตัวบนบัตรประชาชนใบดังกล่าว จนพบว่าเป็นบัตรของตน ตนจึงได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ตนถูกปลอมแปลงเอกสารบัตรประชาชน
นายภาคิน กล่าวว่า หลังจากแจ้งความเรียบร้อย คิดว่าทุกอย่างจะจบ มิจฉาชีพที่นำบัตรของตนไปใช้ คงจะหยุดก่อเหตุ และเลิกใช้บัตรประชาชนของตน แต่กลายเป็นว่า มิจฉาชีพรายดังกล่าว ยังนำเอาบัตรประชาชนของตนไปใช้ โดยใช้การเปลี่ยนแปลงชื่อ นามสกุล สลับเลขประจำตัวบนบัตรไปมา
แต่ยังคงใช้รูปและใช้ที่อยู่ของตน ในการก่อเหตุเรื่อยมา จนถึงตอนนี้ ตนถูกออกหมายเรียก ในคดีหลอกลวงลักษณะเดียวกันนี้ถึง 12 คดี และยังมีคดีที่ผู้เสียหายไม่ได้แจ้งความ แต่เข้ามาติดต่อหาตนโดยตรง เพราะคิดว่าตนเองเป็นมิจฉาชีพอีกนับสิบราย
นายภาคิน กล่าวต่อว่า ตนได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ ให้ตรวจสอบเลขบัญชีว่า ไม่ได้เป็นของตน และตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่มิจฉาชีพรายนี้ สามารถนำบัตรประจำตัวประชาชนของตน ไปปลอมแปลงได้นั้น น่าจะเป็นเพราะเมื่อปีที่แล้ว ได้ไปสมัครแอปเงินกู้ออนไลน์แอปหนึ่ง
ซึ่งทางแอปต้องให้ส่งรูปถ่ายบัตรประชาชน พร้อมถ่ายรูปของตนร่วมกับบัตรประชาชน เพื่อยืนยันตัวตนสมัครใช้แอป พร้อมเสียค่าธรรมเนียมอีก 500 บาท เพื่อขอกู้เงิน 50,000 บาท แต่สุดท้ายเงินกู้ก็ไม่ได้รับอนุมัติ ตนต้องถูกหลอกเสียเงินฟรีไป 500 บาท และยังถูกนำบัตรประชาชน ไปปลอมแปลงก่อคดีอีกนับสิบคดี
นายภาคิน กล่าวว่า ขณะนี้ตนกลายเป็นคนที่ถูกผู้คนในสังคม เข้าใจว่าเป็นมิจฉาชีพไปด้วย จึงอยากฝากถึงคนที่จะตัดสินใจ สมัครแอปเงินกู้ออนไลน์ หรือสมัครบริการต่าง ๆ ที่ต้องใช้บัตรประชาชน และยืนยันตัวตนควรตรวจสอบข้อมูลของแอปว่า เป็นแอปมิจฉาชีพหรือไม่ เพราะอาจจะถูกหลอกเหมือนตน
ขณะที่ นายเอกอนันต์ ศรีอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปราม การทุจริตการทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน สำนักทะเบียนกลางกรมการปกครอง ซึ่งได้ลงมาสอบข้อมูลจากนายภาคินด้วยตนเอง ได้กล่าวว่า ในการลงมาสอบข้อมูลจากนายภาคินวันนี้ ทำให้ทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมาก เพื่อจะนำไปใช้ในการติดตามหาตัวของผู้ที่นำเอาบัตรของนายภาคินไปปลอมแปลงและนำมาใช้หลอกลวงประชาชน
ซึ่งจากข้อมูลที่นายภาคินให้มา เชื่อว่ามิจฉาชีพน่าจะได้รูปถ่าย พร้อมข้อมูลบัตรประชาชนของนายภาคิน จากแอปสมัครกู้เงินออนไลน์ ก่อนจะนำรูปบัตรประชาชนใบดังกล่าว ไปดัดแปลงผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และนำไปก่อเหตุดังกล่าว หลังจากนี้ก็จะได้มีการสอบสวน หาตัวของผู้กระทำผิด มาดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป