ข้าวเม่าเงินล้าน จากภูมิปัญญาชาวบ้านสู่ธุรกิจสร้างรายได้

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดนครพนม ว่ามีอาชีพสุดทึ่ง และยังเป็นที่ต้องการของตลาดไม่เสื่อมคลาย คือข้าวเม่าซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านของกลุ่มอาชีพแม่สุนาต อยู่ในพื้นที่บ้านโปร่ง หมู่ 7 ต.ฝั่งแดง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมานานกว่า 20 ปี จากเดิมนิยมทำกินในครัวเรือนเท่านั้น ก่อนจะพัฒนาต่อยอดนำมาเป็นธุรกิจค้าขาย โดยผู้สืบทอดเน้นความเป็นต้นตำรับภูมิปัญญาของบรรพบุรุษเป็นจุดขาย ในขั้นตอนการผลิตแบบดั้งเดิม ทำให้ข้าวเม่าบ้านโปร่งเป็นที่ต้องการของตลาด เนื่องจากมีความหอม นุ่มอร่อย เพราะวัตถุดิบ ผลิตจากข้าวเม่าแท้

ถึงแม้ 2 ปีที่ผ่านมา จะเกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด แต่กลุ่มผู้ผลิตข้าวเม่าแทบไม่ได้รับผลกระทบ ยังมีลูกค้าจากต่างจังหวัดสั่งซื้อไม่ขาดสาย นอกจากนี้ยังมีการออกแบบสร้างแพคเกจใหม่ เพื่อเอาใจลูกค้าต่างจังหวัดเพิ่มอีกด้วย พร้อมส่งจำหน่ายทั่วประเทศ

ด้านนางสุนาต กุมรา อายุ 54 ปี เจ้าของแหล่งผลิตข้าวเม่าชื่อดังภายใต้ชื่อสินค้า "แม่สุนาต" เล่าว่า ข้าวเม่าถือเป็นผลผลิตภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่เริ่มจากทำกินเองในครัวเรือน เนื่องจากข้าวเม่าจะเป็นข้าวที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เป็นข้าวที่สามารถนำไปปรุงแต่งเป็นเมนูขนมหวานเป็นหลัก เพราะมีรสชาติหอมอร่อย ในปัจจุบันมีการพัฒนาใช้รถเกี่ยวข้าวแทนใช้แรงคน ก่อนนำมานวดเพื่อนำมาคั่วให้สุกในกระทะขนาดใหญ่ ให้เกิดความหอมกรุ่นกลิ่นข้าว จากนั้นนำไปผึ่งให้แห้ง แล้วสีด้วยเครื่องสีข้าวเอาเปลือกออก ก็จะได้เมล็ดข้าวอ่อน จนไปสู่ขั้นตอนการตำด้วยครกกระเดื่องโบราณ ภายหลังมีการพัฒนาเป็นเครื่องยนต์ เป็นการทุ่นแรง และรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดข้าวเกิดความนุ่ม ก่อนนำส่งออกไปจำหน่าย

ส่วนนายชราวุธ กุมลา อายุ 34 ปี ทายาทข้าวเม่าแม่สุนาต กล่าวอีกว่า หัวใจสำคัญของข้าวเม่าแท้ คือ จะต้องมีความหอม นุ่ม อร่อย และจะต้องทำจากข้าวน้ำนม ที่จะต้องผ่านการคั่ว ตำด้วยครกกระเดื่องเท่านั้น ซึ่งทุกปีตั้งแต่เดือนสิงหาคม จะเริ่มเก็บผลผลิตข้าวมาแปรรูปเป็นข้าวเม่าส่งขาย ในราคากิโลกรัมละประมาณ 100 -120 บาท ยิ่งช่วงงานเทศกาลบุญประเพณีออกพรรษา ไปถึงปีใหม่ จะมีพ่อค้า แม่ค้า มาสั่งซื้อไม่อั้น จนผลิตแทบไม่ทัน จึงมีการพัฒนาการผลิตเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือนขนาดเล็ก สามารถผลิตได้สูงสุดวันละเกือบ 2 ตัน แต่คุณภาพการผลิตจะต้องคงที่ ทั้งรสชาติและกลิ่น คุณภาพข้าวต้องคัดเลือกมาก่อนเข้าสู่การผลิต แต่ละวันสร้างรายได้ตกวันละประมาณ 50,000 บาท ถึง 100,000 บาท หักค่าใช้จ่ายจะได้กำไรอยู่ประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างรายได้แรงงงานในชุมชน เพราะต้องว่าจ้างแรงงานวันละ 20–30 คนช่วยในการผลิต มีรายได้คนละ 300-400 บาทต่อวัน อีกทั้งยังเป็นการช่วยเกษตรกรชาวนา เพราะรับซื้อข้าวเปลือกสูงกว่าพ่อค้าคนกลาง โดยรับซื้อในราคาประมาณกิโลกรัมละ 10 บาท จากปกติซื้อขายกันในท้องตลาดแค่กิโลกรัมละ 5 บาท จึงเป็นการช่วยชาวนาเพิ่มรายได้อีกทางด้วย ผู้ใดสนใจโทรสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.093-343-1176