ตำรวจคุมตัว 5 ผู้ต้องหาชิงยาบ้าปล้นปืนอส.ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ

ความคืบหน้าแก๊งยาเสพติดจำนวน 9 คน ใช้รถยนต์เป็นพาหนะ 3 คัน พยายามบุกชิงตัวผู้ต้องหาขณะปลัดอำเภอรัตภูมิและอส.รวม 6 นาย นำผู้ต้องหาไปขยายผลล่อซื้อยาเสพติด เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น

ล่าสุด ตำรวจสภ.รัตภูมิ จ.สงขลา ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายเสริมศักดิ์ ศรีสุวรรณ  ,นายกัมปนาท หรือ ดล หมัดอาดั้ม  , นายอัพฟาน หรือ บิน แก้วเรืองศรี  ,นายประทีป หรือหลง แก้วบุญขวัญ และ นายธีรวุฒิหรือ เลี่ยม หัวแหวน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลาไปทำแผนประกอบคำรับสารรภาพ  6 จุด โดยเฉพาะจุดที่ก่อเหตุล้อมรถและชิงของกลางยาบ้า บริเวณทางเข้าบ้านนิคมร่วมพัฒนา หมู่ 11 ต.แพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา  ผู้ต้องหาใช้รถก่อเหตุ 3 คัน ติดตั้งรั้วด้านหลัง บรรทุกตะกร้าใส่หญ้าไว้หลังรถ เพื่อตบตาชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองว่าเป็นยาเสพติดที่นำมาแลกกับตัวนายธนกร ผู้ต้องหาคดียาเสพติด

นอกจากนี้ยังใช้รถยนต์ยี่ห้อ Toyota ที่มีนายเสริมศักดิ์เป็นคนขับมาประกบด้านข้าง ส่วนรถยนต์ยี่ห้อ Toyota Yaris สีขาว ที่นายกัมปนาทนั่งมา ได้จอดปาดหน้ารถของชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครอง จากนั้นนายกัมปนาทลงจากรถพร้อมอาวุธปืน M4 มายืนคุมเชิง พร้อมกับผู้ร่วมก่อเหตุคนอื่น

นายกัมปนาท ให้การว่า พวกตนก่อเหตุเพื่อต้องการช่วยเหลือน้องชายก็คือนายธนกร ให้มีชีวิตปลอดภัยเท่านั้นและหากรู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่คงจะไม่ลงมือก่อเหตุ แต่ที่ต้องทำเพราะก่อนลงมือได้มีการโทรศัพท์พูดคุยติดต่อเพื่อขอไถ่ตัวนายธนกร ซึ่งบทสนทนาปลายสายทำให้เชื่อว่าเป็นกลุ่มโจรที่จับตัวนายธนกรเรียกค่าไถ่ เพราะมีการเรียกเงิน 1 ล้านบาท พร้อมยาบ้า 100 มัด และไอซ์ 10 กิโลกรัม แต่พวกตนไม่สามารถหาเงินและยาเสพติดได้มากขนาดนั้นจึงต่อรองเหลือเงินเพียงจำนวน 3 แสนบาท พร้อมไอซ์ 8 กิโลกรัม ซึ่งปลายสายตกลงและนัดหมายมาพบกันที่จุดดังกล่าว แต่เมื่อมาถึงนำถุงขยะ 3 ถุงที่ตบตาว่าเป็นไอซ์ ใส่ท้ายรถของชุดปฏิบัติการพิเศษ และเมื่อเปิดรถกลับไม่พบนายธนกร จึงใช้อาวุธปืนจี้และจึงพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษจึงควบคุมตัวและบังคับให้ถอดเสื้อเพื่อดูว่ามีอาวุธหรือสิ่งของใดอีกหรือไม่ และพวกตนได้ยึดอาวุธปืน โทรศัพท์มือถือเอาไว้ แล้วให้ทุกคนขึ้นรถกระบะ ก่อนนำไปปล่อยริมถนนสายหาดใหญ่รัตภูมิห่างจากจุดเกิดเหตุไม่เกิน 100 เมตร อย่างไรก็ตามในส่วนของการดำเนินคดีก็ต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป