พ่อแม่แจ้งความแอดมินเพจดังระยอง จ่อกล้องถ่ายหน้าลูกออกไลฟ์สด จนเด็กผวา!

ระยอง - 6 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  วานนี้ (5 ก.ย.) ตำรวจ สภ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง รับแจ้งจาก น.ส.ธนัชพร หวังรักกลาง อายุ 38 ปี ว่าลูกชายคนเองชื่อ น้องเอ (นามสมมุติ) อายุ 3 ขวบ ถูกแอดมินเพจดังของจังหวัดระยอง เอากล้องจ่อหน้าลูกชายไลฟ์สดออกโซเชียล และพูดจาเสียงดังใส่ จนลูกเกิดความหวาดผวา ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ จึงปรึกษากับพ่อและญาติของน้องเอ  ลงความเห็นว่าต้องดำเนินคดีกับแอดมินคนดังกล่าวให้ถึงที่สุด โดยนำคลิปมาเป็นหลักฐาน

 

น.ส.ธนัชพร แม่น้องเอเปิดเผยว่า ตนเองเป็นอาสากู้ภัยมูลนิธิสยามระยอง เมื่อคืนวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา เวลาประมาณ 23.00 น. ได้รับการแจ้งจากศูนย์นเรนทร จ.ระยอง ว่ามีผู้ป่วยหมดสติอยู่บริเวณร้านสะดวกซื้อหนองผักหนาม อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง จึงขึ้นรถกู้ภัยไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยพาลูกไปด้วย แต่เมื่อไปถึงพบว่ามีกู้ภัยอีกหน่วยงานหนึ่งกำลังช่วยคนเจ็บอยู่  ทางตนเองจึงจอดรถและสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ เพราะได้รับคำสั่งว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ห้ามเข้า เพราะเกรงจะมีการกระทบกระทั่งกันของกู้ภัย

 

ขณะนั้นแอดมินเพจดังของระยอง มาไลฟ์สดในที่เกิดเหตุด้วย และด้วยความที่แอดมินคนดังกล่าวไม่ค่อยชอบกู้ภัยสยามระยองเป็นทุน จึงหันมาถ่ายพวกตนที่ยืนสังเกตุการณ์อยู่ และมีจังหวะหนึ่งแอดมินคนดังกล่าวได้เดินเข้ามาหาตนเองที่ยืนอุ้มลูกชายอยู่  พร้อมกับการไลฟ์สด และได้จ่อกล้องเข้ามาแล้วตะคอกใส่หน้าตนและลูกชาย จนลูกชายต้องหันหน้าหนี เอาหน้ามาซบที่ไหล่ตนเองด้วยความกลัว 

 

จากนั้นตนเองก็ได้นำลูกขึ้นรถโดยลูกบอกว่ากลัวๆ โดยน้องเอตัวสั่น กอดแม่ตลอดเวลาไม่ยอมห่าง ตนเองจึงโทรบอกพ่อของน้อง พ่อน้องโกรธมากที่น้องเอโดนถ่ายจ่อหน้าออกไลฟ์สดแบบนั้น ต่อมาเพื่อนที่ดูไลฟ์สดอยู่ สามารถบันทึกคลิปเหตุการณ์ไว้ได้  พอพ่อของน้องและญาติ ๆ เห็นคลิป ต่างเกิดความไม่พอใจที่มาทำกับลูกหลานแบบนี้  จึงลงความเห็นกันว่าต้องแจ้งความดำเนินคดีกับแอดมินเพจคนดังกล่าว และดำเนินคดีให้ถึงที่สุด จึงเดินทางมา สภ.นิคมพัฒนา เพื่อแจ้งความ โดยเดินทางมาพร้อมกับพ่อของน้องเอและน้องเอ

 

ด้าน นายดำรงพล หวังรักกลาง อายุ 40 ปี พ่อน้องเอ กล่าวว่า วันเกิดเหตุตนเองทำงานอยู่ หลังจากเห็นคลิปแล้วเกิดความไม่พอใจอย่างมาก จึงเดินทางมา สภ.นิคมพัฒนา เพื่อรักษาสิทธิ์ให้ลูก ที่ถูกไลฟ์สดแบบนั้น  ถ้าเป็นลูกหลานของเขาโดนกล้องจ่อหน้าพูดจาตะคอกใส่แบบนี้จะรู้สึกยังไง ลูกใครใครก็รัก ไม่มีใครยอมที่มาถ่ายหน้าลูกตัวเองออกโซเชียล เพราะไม่เหมาะสม และหลังจากวันนั้นน้องเอก็เกิดความกลัว จนตอนนี้ก็ยังอยู่ในอาการหวาดผวา ตนเองจึงต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้ลูกตามขั้นตอนของกฎหมาย

 

สำหรับเหตุการณ์เด็กถูกถ่ายออกสื่อโซเชียล ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดระยอง ได้รับข้อมูลเบื้องต้นจากหัวหน้าบ้านพักเด็กฯ ว่า การกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายคุ้มครองเด็กโดยชัดเจน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก มาตรา 27 ผู้เป็นพ่อแม่สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ทันที  ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง จะเรียกแอดมินเพจคนดังกล่าวมาสอบสวน ก่อนดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งพ่อและแม่ของน้องเอยืนยันว่าจะไม่ยอมความใด ๆ ทั้งสิ้น

 

ทั้งนี้ปัจจุบันมีพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ย่อมาจากคำว่า Personal Data Protection Act B.E. 2562 (2019) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วย การให้สิทธิ์กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล สร้างมาตรฐานการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้ปลอดภัย และนำไปใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ตามคำยินยอมที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอนุญาต (อ่านรายละเอียดที่นี่)

 

บทลงโทษหากไม่ปฎิบัติตาม PDPA

• - โทษทางอาญา: จำคุกสูงสุดไม่เกิน 6 เดือนถึง 1 ปี หรือปรับสูงสุดไม่เกิน 500,000 ถึง 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
• - โทษทางแพ่ง: ค่าสินไหมทดแทน + ค่าสินไหมเพื่อการลงโทษอีกไม่เกิน 2 เท่า
• - โทษทางปกครอง: ปรับไม่เกิน 1หรือ 3 หรือ 5 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตามเพจเฟซบุ๊ก PCDC Thailand ได้เผยข้อมูล 4 เรื่องไม่จริงเกี่ยวกับ PDPA ดังนี้ 

1. การถ่ายรูป-ถ่ายคลิป ติดภาพคนอื่นโดยเจ้าตัวไม่ยินยอมจะผิด PDPA
ตอบ กรณีการถ่ายรูป-ถ่ายคลิปโดยติดบุคคลอื่นโดยผู้ถ่ายรูป-ถ่ายคลิปไม่เจตนา และการถ่ายรูปถ่ายคลิปดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ถูกถ่าย สามารถทำได้ หากเป็นการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว

2. ถ้านำคลิปหรือรูปถ่ายที่ติดคนอื่นไปโพสต์ในโซเชียลมีเดียโดยบุคคลอื่นไม่ยินยอมจะผิด PDPA 
ตอบ สามารถโพสท์ได้ หากใช้เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว ไม่ใช้แสวงหากำไรทางการค้าและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล 

 

3. ติดกล้องวงจรปิดแล้วไม่มีป้ายแจ้งเตือนผิด PDPA 
ตอบ การติดกล้องวงจรปิด ภายในบ้าน ไม่จำเป็นต้องมีป้ายแจ้งเตือน หากเพื่อป้องกันอาชญากรรม และรักษาความปลอดภัยกับตัวเจ้าของบ้าน 

 

4. เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลต้องให้ความยินยอมทุกครั้งก่อนนำข้อมูลไปใช้ 
ตอบ ไม่จำเป็น ต้องขอความยินยอม หากการใช้ข้อมูลดังกล่าว 
(1) เป็นการทำตามสัญญา 
(2) เป็นการใช้ที่มีกฎหมายให้อำนาจ 
(3) เป็นการใช้เพื่อรักษาชีวิตและ/หรือ ร่างกายของบุคคล 
(4) เป็นการใช้เพื่อการค้นคว้าวิจัยทางสถิติ 
(5) เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ
(6) เป็นการใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ หรือสิทธิของตนเอง 

ทั้งนี้ หลักการข้างต้น อาจเปลี่ยนแปลงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นกรณีๆไป