9 ธันวาคม 2565 ที่สำนักงาน ป.ป.ช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริต ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) โดยกล่าวว่า วันนี้องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 9 ธ.ค.ของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล เพื่อให้ประชาคมโลกตระหนักถึงภัยร้ายแรงจากการทุจริต และเพื่อร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ในการรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
สำหรับประเทศไทย ในฐานะประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ เราให้ความสำคัญกับการต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบตลอดมา รัฐบาลได้ร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงาน ป.ป.ท. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ภาคประชาสังคม และภาคีเครือข่าย จัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลขึ้น เพื่อร่วมกันแสดงจุดยืนพร้อมๆ กับคนไทยทุกภาคส่วนที่จะ “ไม่ทำ ไม่ทน และไม่เพิกเฉย” ต่อการทุจริตอีกต่อไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ แต่จะต้องอยู่ในจิตใต้สำนึกของคนไทย ทุกๆคนในทุกวัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า พวกเราทราบดีอยู่แล้วว่าปัญหาคอร์รัปชันส่งผลเสียหายต่อประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ หรือ TI (ที-ไอ) ได้สะท้อนว่าปัญหาการทุจริตที่เป็นจุดอ่อนของประเทศไทยที่สำคัญ คือ ปัญหาการซื้อขายตำแหน่ง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การเรียกรับสินบน
ตลอดจนการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน และความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณ การทุจริตจึงเป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง ทั้งในการบริหารจัดการภาครัฐ การพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และพัฒนาประเทศ ที่สำคัญ คือ การทำลายภาพลักษณ์ ทำลายความเชื่อมั่น ในสายตาชาวไทยและชาวโลก ซึ่งเราจะต้องไม่ยอมให้การทุจริตเป็นมรดกบาป ตกทอดสู่รุ่นลูก รุ่นหลานอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจึงให้ความสำคัญ และผลักดันให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็น "วาระแห่งชาติ" สร้างกลไกการแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้มีการบรรจุแนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างจริงจัง
ส่วนที่เห็นเป็นรูปธรรมในภาพรวมประเทศ เช่น พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน นโยบาย National e-Payment เป็นต้น ที่ช่วยขจัดโอกาสการทุจริต หักหัวคิว เรียกรับสินบน เพิ่มความโปร่งใสในการกระบวนการทำงานของภาครัฐ ให้สามารถติดตามตรวจสอบได้ ในทุกขั้นตอน
"ช่วงวิกฤตโควิดและวิกฤตพลังงานที่ผ่านมาปัญหาคู่ขนาน คือ เรื่องเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงผลักดันโครงการต่างๆ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการคนละครึ่ง เป็นต้น และรัฐบาลยังได้เพิ่มช่องการรับเรื่องราวร้องเรียน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ผมให้ความสำคัญการติดตามนำคนทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม-รับโทษ โดยไม่มีข้อยกเว้นแม้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้มีอิทธิพลในสังคมให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วขึ้น เพราะความยุติธรรมที่ล่าช้า ก็คือความไม่ยุติธรรม" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลจะไม่ลดละ เพื่อขจัดการทุจริตให้หมดสิ้นไป โดยพร้อมที่จะทำงานกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เปิดกว้างรับฟัง เสริมสร้างความเข้มแข็ง และคงความเป็นอิสระของหน่วยงานตรวจสอบ เพื่อให้โครงการพัฒนาประเทศ การค้า การลงทุน การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในสังคม สามารถดำเนินไปได้อย่างเต็มศักยภาพ ไม่ยอมให้ พลังความดีความถูกต้อง พ่ายแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีการดำเนินการมาเป็นระยะๆ แต่ยังมีปัญหาอยู่ สิ่งสำคัญะร่วมมือกันได้อย่างไรให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากที่สุด 100% ทุกอย่างอยู่ที่ใจต้องไม่ยอมรับไม่มีผลประโยน์อะไรทั้งสิ้น ต้องกำจัดให้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่บั่นทอนการพัฒนาประเทศ ขอยืนยันไม่ให้มีการทุจริตเชิงนโยบายโดยเด็ดขาด ส่วนที่ทำไปแล้วบกพร่องต้องถูกลงโทษ เพราะทุกโครงการต้องโปร่งใสตรวจสอบได้มีประสิทธิภาพ ใครทุจริตโครงการต้องถูกลงโทษ
อย่างไรก็ตาม หลังเปิดงานเสร็จ นายกฯ กล่าวกับสื่อมวลชนว่า วันนี้เป็นงาน ป.ป.ช. อย่าเอาเรื่องอื่นมาปน พร้อมชื่นชม ว่าสถานที่ดี คนก็ดี เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. จึงได้กล่าวขอบคุณ และก่อนเดินทางกลับนายกฯ ได้พูดทิ้งท้ายกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทุกคนว่า ขอให้เชื่อมั่นในตัวนายกฯ ขอบคุณ และขอให้ทุกคนช่วยกัน