
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม ร่วมจัดเสวนาวิชาการ เรื่อง "ศึก ศักดิ์ vs. ศรี" ถึง "กรณีล็อกคอ": ฤาความรุนแรงจะคือคำตอบสำหรับความขัดแย้งทางการเมืองไทย โดยมี อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์จากสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล นางสาวงามศุกร์ รัตนเสถียร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นางสาวชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า นางสาวพรรณิการ์ วานิช และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ร่วมเสวนา
โดย"นางสาวพรรณิการ์" เริ่มเปิดประเด็นถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่ประธานคณะก้าวหน้า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกนายคเณศพิศณุเทพ จักรภพมหาเดชาหรือ เค ร้อยล้านล็อกคอภายในมหกรรมหนังสือแห่งชาติ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมองว่า เป็นการเจตนาตะโกนว่า “กูมีระเบิด” ขณะที่มีผู้คนอออยู่ที่บูธคณะก้าวหน้านับร้อยคน เพื่อให้คนระทึกขวัญและไม่กล้าเข้าไปช่วย ซึ่งไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะ เค ร้อยล้าน เคยข่มขู่คณะก้าวหน้ามาหลายครั้งแล้ว
"เค ร้อยล้าน เป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้มีความสุดโต่งทางการเมืองและต้องการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม แต่ไม่ใช่คนแรกที่เราเจอจากการทำงานของอนาคตใหม่ ความรุนแรงมักจะทำโดยผู้มีอำนาจหรือผู้ที่หวั่นกลัวจะสูญเสียอำนาจ แน่นอนไปไหนก็ถูกตะโกน เปิดเพลงไล่ แต่สุดท้ายไม่เคยทำให้เราหยุดยั้งการทำงานทางการเมืองของเรา" นางสาวพรรณิการ์ กล่าว
ขณะที่"นางสาวปนัสยา" กล่าวว่า ปกติเราเห็นความรุนแรงทางวาจาหรือทางกายภาพ แต่ความจริงยังมีความรุนแรงทางกฎหมาย หรือความรุนแรงเชิงโครงสร้าง จากกรณีการยุบพรรคอนาคตใหม่ หรือการดำเนินคดีกับนักศึกษาผู้ชุมนุม
"มันคือการเสริมความรุนแรงเข้าไปในตัวกฎหมายเพื่อจัดการกับผู้เห็นต่าง มีทั้งการติดกำไล EM การคุกคามถึงบ้าน มันเป็นอย่างนั้นมาตลอด จึงมีการแสดงออกทางการเมือง เพราะเราโกรธที่มันไม่เป็นธรรม มีอำนาจโดยไม่ชอบ เราใช้ความโกรธในการขับเคลื่อนเป้าหมายของเรา แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะใช้ความโกรธในวิธีการของเรา" นางสาวปนัสยา กล่าว
"นางสาวปนัสยา" อธิบายถึงสาเหตุที่เลือกแนวทางสันติวิธีว่า สันติวิธีไม่ใช่เรื่องโลกสวย แต่เป็นการมองและเลือกตามความเป็นจริง อย่างดีที่สุดแล้ว ก่อนชี้ว่าอัตราความสำเร็จของการเคลื่อนไหวแบบสันติวิธีมีมากกว่าความเคลื่อนไหวโดยใช้ความรุนแรงถึง 3 เท่า และสันติวิธีไม่ได้หายไปไหนตั้งแต่ปี 2563 และมันเป็นแนวทางที่มีความหวังมากที่สุด
"ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุญเลิศ" กล่าวว่า ตอนที่เกิดปรากฏการณ์นี้ก็สังคมก็กล่าวถึงความรุนแรงเชิงกายภาพ จนถึงความรุนแรงเชิงโครงสร้าง แต่ในฐานะนักมานุษยวิทยา ยังสามารถขยายแนวคิดความรุนแรงออกไปอีกก็คือ ความรุนแรงในชีวิตประจำวัน นั่นคือคนรู้สึกสะใจที่เลขาธิการสมาคมองค์พิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นายศรีสุวรรณ จรรยา ถูกกระทำ ซึ่งสะท้อนว่ากลไกของรัฐไร้ประสิทธิภาพเต็มทน
"ใช้ความรุนแรงแล้วคุณจะชนะเหรอครับ ? แล้วสังคมที่ไร้ความรุนแรงจะสร้างด้วยความรุนแรงได้เหรอครับ ? มันไม่มีทางอื่นที่จะสู้ด้วยแนวทางที่ไม่ใช่สันติวิธี" ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุญเลิศ กล่าว
นางสาวชญานิษฐ์ พาย้อนกลับไปถึงกรณี "ลุงศักดิ์" ต่อยใบหน้า นายศรีสุวรรณ ว่าไม่ใช่ความรุนแรงฝ่ายเดียวในทางกายภาพ แต่เป็นความรุนแรงสองฝ่าย ทั้งนี้ การใช้ความรุนแรงทางกายภาพก็ไม่ได้รับประกันว่าเป็นการสั่งสอนตามที่ลุงศักดิ์แสดงความประสงค์ เพราะหลังจากนั้น สื่อก็เข้าหานายศรีสุวรรณมากกว่าเดิม และนายศรีสุวรรณยังเดินหน้าไล่ฟ้องอยู่อย่างต่อเนื่อง
"งานศึกษาหลายชิ้นระบุว่า ความรุนแรงเชิงโครงสร้างต้องแก้ในระดับโครงสร้าง เช่น การแก้ที่ตัวบทกฎหมาย ลดอัตราโทษลงให้เหมาะสม เลือกรับคำร้องเฉพาะที่มีมูลความผิดหรือหลักฐานเพียงพอ แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมใช้เวลายาวนานกว่าการจัดการตัวบุคคล แต่ถ้าจุดหมายปลายทางคือการมีสังคมการเมืองที่เปิดกว้างและพร้อมรับฟังกันอย่างมีอารยะ เราจะใช้ความรุนแรงต่อคนที่คิดต่างจากเราได้อย่างไร ?" นางสาวชญานิษฐ์ กล่าว
ด้านนางสาวงามศุกร์ เห็นด้วยกับวงเสวนา โดยกล่าวว่า ความรุนแรงจากรัฐถูกส่งต่อผ่านนโยบาย จนเป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ที่แม้ไม่เห็นเลือดเนื้อ แต่ความรุนแรงเชิงโครงสร้างสามารถทำลายชีวิตคนได้
"คำถามคือ ความรุนแรงแบบนี้ เราจะอยู่กันอย่างนี้ต่อไปหรือ ทั้งหมดที่เราเรียกร้องเรื่องเสรีภาพและคนเท่ากัน ก็ต้องกลับมาทบทวนดูเรื่องภราดรภาพด้วยหรือไม่ ที่อย่างน้อยความเป็นเพื่อนมนุษย์จะช่วยกลับมาคุ้มครองเรา เพื่อฟื้นความสัมพันธ์ในสังคมของเรา เราอาจจินตนาการไม่ออกเพราะเราอยู่กับความรุนแรงมานาน จนเราลืมว่าเราสามารถสนทนากันได้" นางสาวงามศุกร์ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตามกำหนดการเดิมวิทยากรร่วมเสวนาจะมีประธานคณะก้าวหน้า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ด้วยแต่เนื่องจากติดภารกิจด่วนทำให้นางสาวพรรณิการ์ วานิช มาร่วมงานแทน