20 สิงหาคม 2565 คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และเครือข่าย 99 พลเมือง จัดเวทีข้อเสนอต่อสาธารณะ "วิเคราะห์การเมืองไทยหลังเงื่อนไข 8 ปีนายกฯ และชะตากรรม พลเอกประยุทธ์" โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อดีตคณบดีพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) พท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี เลขาธิการเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ เป็นต้น
โดยนายพิชาย กล่าวว่า หนทางในระหว่างระยะเวลาที่เหลืออยู่ของนายกรัฐมนตรี ก่อนจะครบวาระ 8 ปี ในวันที่ 24 ส.ค. ซึ่งหนทางแรก คือ การประกาศยุติการดำรงตำแหน่งด้วยตัวเอง ซึ่งมีข้อดี หากพล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนักการเมืองที่ดี เพราะเป็นการเคารพเจตนารมณ์ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ตีความอย่างตรงไปตรงมาไม่ค่อยเขว ท่ามกลางการตีความของคนรอบข้างที่ต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อ จรรโลงหลักนิติธรรมของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ จะเป็นการลดเงื่อนไขวิกฤตทางการเมือง ซึ่งมีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ และขยายตัวอย่างกว้างขวาง
ส่วนข้อเสียทางลงจากตำแหน่งนั้นอยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรงนั้น คือ การหลุดพ้นจากอำนาจในทันที พร้อมอยากให้นายกฯ ยกหลักธรรมไตรรัตน์ มาไตร่ตรองให้มาก และมองความเป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลไม่แน่นอน อย่ายึดติดเป็นตำแหน่ง ในรัฐมนตรีใดอยู่นานๆก็จะมีความทุกข์ ทุกอย่างล้วนเป็นอนัตตา
ขณะที่ ทางเลือกการยุบสภานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออกไปได้ 4-5 เดือน จนกว่าจะมีการเลือกตั้งและรับรองผล นอกจากนี้ ยังมองถึงการปฏิบัติหน้าที่ในการเป็นประธานการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค ต้องยอมรับว่าท่ามกลางความขัดแย้งโลก ระหว่างการประชุมจะมีการแสดงท่าที ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศผู้จัด
"การจัดประชุมเอเปคครั้งนี้จึงถือว่าเป็นความเสี่ยงของประเทศอีกทางหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญ คือ การยุบสภาจะทำให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่พอใจ หากจากการวิเคราะห์แล้ว อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ เลือกทางเลือกที่ 1 มากกว่า เนื่องจากรักษาการนายกรัฐมนตรีจะเป็นพล.อ.ประวิตร" นายพิชาย กล่าว
นอกจากนี้ มองว่าการยุบสภาจะส่งผลทำให้เกิดการสับสนชั่วคราว เนื่องจากยังมีปัญหาในเรื่องการใช้ร่างประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. โดยคาดการณ์ว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการยุบสภา จะใช้ช่วงเวลาคืนวันที่ 23 ส.ค. เนื่องจากการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2566 ยังไม่แล้วเสร็จ
ส่วนทางเลือกการอยู่รอศาลตัดสิน ซึ่งตามเงื่อนไขคิดว่า ศาลจะมีคำสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่วันที่ 24 ส.ค. เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียในการปฏิบัติหน้าที่ตามมา จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งสามารถช่วงชิงอำนาจทางการเมือง และอาจทำให้เกิดปาฏิหาริย์ทางกฎหมาย เช่น คดีที่ผ่านๆมา แต่ต้องยอมรับว่าขณะนี้อาการของนายกฯ มีความเครียด กังวลอะไรบางอย่าง ไม่นิ่งระหว่างแถลงข่าว ไม่มีการวางอำนาจในครั้งที่ผ่านมา
ส่วนหากศาลสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกจดจำในประวัติศาสต์ทางการเมือง เป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งด้วยศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังมองว่าจากการที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังสามารถรักษาการในตำแหน่งนายกฯได้ และหากพล.อ.ประยุทธ์ยังรักษาการต่อจะเกิดหายนะแน่ๆ
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าทางเลือกที่ดีที่สุดของประเทศในสายตาของตน คือ ในคืนวันที่ 23 ส.ค.นี้ จะมีทีวีพูลให้พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศอำลาประชาชน ขอยุติการปฏิบัติหน้าที่ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และมีการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภา ซึ่งตนเชื่อว่านายกฯ จะเลือกทางเลือกนี้ แม้ว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อการเมืองในปัจจุบันอยู่มาก แต่จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถรักษาอำนาจต่อไปได้
ขณะที่ นายสมชัย กล่าวว่า ตนขอยกอริยสัจ 4 ซึ่งใช้ได้กับทุกเรื่อง ทุกข์ที่เกิดขึ้นเกิดกับ พล.อ.ประยุทธ์เองไม่ใช่ประชาชน ซึ่งรับข้อกังวลว่าจะสามารถดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำของประเทศต่อไปได้หรือไม่ โดยสาเหตุแห่งทุกข์เกิดจากรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 158 ที่ระบุว่านายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งต่อเนื่องกัน 8 ปีไม่ได้ ซึ่งถือเป็นการผูกขาดอำนาจที่ไม่ใช่วิธีการทางรัฐสภา และการดำรงตำแหน่ง 8 ปี มาจากการยึดอำนาจ 4 ปีกว่า และอีก 3 ปี มาจากการฉ้อฉลอำนาจ ดังนั้น เสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยวาง แล้วจะเป็นสุข พ้นจากทุกข์ทันที
ส่วนที่ส.ส.เข้าชื่อยื่นต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัย มีอยู่ 2 แนวทาง คือ เมื่อศาลรับคำร้องจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ โดยหากมีคำสั่งศาลหยุดปฏิบัติหน้าที่ ต้องหยุดอย่างไม่มีเงื่อนไข หากศาลไม่สั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งคาดการณ์ว่า ศาลจะใช้เวลาในการพิจารณาไม่นาน เนื่องจากเป็นเพียงการพิจารณาด้านข้อกฎหมาย ส่วนหากศาลมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องถอยกลับมาให้วันที่ 24 ส.ค. สิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรีจะต้องคืนทั้งหมด
"ส่วนใครจะเป็นผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี ณ ขณะนั้นเป็นเรื่องของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าจะมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทน จนกว่าที่ประชุมรัฐสภาจะประชุมเพื่อตกลงกันว่าจะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นไปตามกลไกของรัฐธรรมนูญ และมองว่าระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งในรัฐมนตรี 4 ปีกว่า ในช่วงแรก หากมีการตีความว่าไม่เป็นการนับรวมวาระ 8 ปี ผมจะมีการตั้งคำถามว่า แล้วขณะนั้น ใครเป็นผู้ดำรงตำแหน่ง" นายสมชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอมลง ไม่ยอมออกจากตำแหน่ง ผลร้ายสุดที่อาจจะเกิดขึ้น คือ จะเป็นการสร้างสถานการณ์ที่เลวร้ายต่อบ้านเมือง ทำให้ความขัดแย้งขยายตัว กลุ่มก้อนองค์กรต่างๆที่เป็นภาคส่วนต่างๆ ในสังคมจะเริ่มแสดงออก ทั้งนักวิชาการ กลุ่มองค์กรเอกชน ซึ่งคาดการณ์ได้ยากว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง
ส่วนที่มีคนสงสัยว่าหากหลังจากวันที่ 24 ส.ค. นายกรัฐมนตรีจะเฝ้าดูว่าศาลจะตัดสินเมื่อใด ซึ่งระหว่างนั้น ความขัดแย้งของบ้านเมืองจะไปถึงขนาดไหน อาจจะใช้เหตุผลต่างๆ คืนอำนาจให้กับประชาชนในการยุบสภา รหัสเกิดการยุบสภา คณะรัฐมนตรีชุดนี้จะรักษาการจนกว่า จะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ จนกว่าจะมีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ซึ่งกระบวนการในการเลือกตั้งและประกาศผล และจัดตั้งรัฐบาลจะใช้เวลาประมาณ 5 เดือน ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอำนาจได้
ส่วนศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาในช่วงเวลาดังกล่าวอะไรจะเกิดขึ้นนั้น หากมีการยุบสภาก่อนศาลจะวินิจฉัย ไม่สามารถยุติเรื่องดังกล่าวได้ หากเป็นนายกฯก็ต้องพ้นจากรักษาการ เช่นเดียวกับสมัยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการพ้นจากตำแหน่งโดยเฉพาะตัว ส่วนกฎหมายต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาออกเป็นกฎหมายทุกอย่างจะถูกตีตกไปทั้งหมด และกลับมาใช้กฎหมายเดิมที่มีอยู่ ขณะเดียวกันอำนาจหน้าที่ของครม.รักษาการ จะเป็นไปตามประกาศที่ กกต.นั้นได้ออกมา
"บ้านเมืองต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น และประชาชนจะต้องเป็นผู้กำหนดทิศทางทางการเมือง" นายสมชัย ระบุ