
การประกาศรายชื่อผู้ที่จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ (Nobel Peace Prize) ในวันนี้ ทั้งน่าตื่นเต้นและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการโคจรมาพบกันระหว่างคู่ปรับระดับโลกอย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กับสาวน้อยนักรณรงค์ต่อต้านปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (โลกร้อน) ชาวสวีเดน "เกรตา ธันเบิร์ก"
10 ตุลาคม 2568 โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 79 ปี ทรัมป์ แสดงออกอย่างเปิดเผยถึงความปรารถนาที่จะได้รางวัลนี้มาครอบครองต่อจาก อดีตประธานาธิบดี 3 คน คือ บารัค โอบามา, จิมมี่ คาร์เตอร์, วู้ดโรว์ วิลสัน และอดีตรองประธานาธิบดีอัล กอร์ ถึงขั้นขู่ว่า จะถือเป็น "การดูหมิ่นอย่างรุนแรง" ถ้าใครก็ตามที่ไม่ใช่เขา ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติสาขานี้
"ทรัมป์" อ้างตัวว่าเป็น "ผู้สร้างสันติภาพอันดับ 1 ของโลก" (peacemaker-in-chief) และพยายามจะสร้างโปรไฟล์ในการยุติสงครามตามจุดร้อนทั่วโลก อย่างเช่น อิสราเอลกับฮามาส, รัสเซียกับยูเครน และไทยกับกัมพูชา แต่วิธีการที่เขาใช้ถูกมองว่า สันติภาพในความหมายของเขา คือการให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และใช้อิทธิพลของการเป็นมหาอำนาจ คัดเลือกประเทศ "พันธมิตร" กับประเทศที่เป็น "ภัยต่อเสถียรภาพของโลก" ด้วยการตั้่งเงื่อนไขที่ผูกโยงเข้ากับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เช่น การใช้มาตรการด้านการค้าและระบบภาษีศุลกากร บีบบังคับ 40 กว่าประเทศทั่วโลก ให้ยอมศิโรราบต่อสหรัฐฯ
ด้วยแนวทางของ "ทรัมป์" ทำให้ประเทศที่หวังจะเป็นฝ่ายได้เปรียบจากข้อพิพาท อย่างเช่น อิสราเอลและกัมพูชา รีบเอาใจด้วยการเสนอชื่อ "ทรัมป์" เข้าชิงรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ แม้แต่ในสหรัฐฯเอง เขาก็ยังใช้วิธีการสุดขั้วปราบปรามผู้อพยพ ส่งทหารไปคุมตามเมืองที่เป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองคู่แข่งอย่างเดโมแครต เล่นงานสถาบันต่างๆ และศาล
ยิ่งมีนักการเมืองนอร์เวย์ เตือนรัฐบาลให้เตรียมรับมือกับการตอบโต้จากสหรัฐฯ กรณีที่ "ทรัมป์" ไม่ได้รับรางวัล หลังคณะกรรมการยืนยันว่า ได้เลือก "ผู้ที่จะได้" ไว้ตั้งแต่วันจันทร์ ก่อนที่ "อิสราเอลกับฮามาส" จะลงนามข้อตกลงหยุดยิงระยะแรก ภายใต้แผนที่ "ทรัมป์" เป็นผู้ผลักดัน จนเกิดความกังวลว่าเขาจะตอบโต้อย่างไรที่ถูกมองข้ามนั้น ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ถ้า "ทรัมป์" ตอบโต้จริง พฤติกรรมของเขาก็ยิ่งห่างไกลคำว่า "สันติภาพ"
"เกรตา ธันเบิร์ก" วัย 22 ปี สาวน้อยนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชาวสวีเดน ผู้มีชื่อเสียงระดับโลก เธอเป็นที่รู้จักจากการรณรงค์ต่อต้านภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเริ่มจากการประท้วง "หยุดเรียนเพื่ออนาคต" (School Strike for Climate) ตั้งแต่ปี 2561 ก่อให้เกิดขบวนการ "#FridaysforFuture" ที่มีนักเรียนหลายหมื่นคนทั่วโลกเข้าร่วม
"เกรตา" ตระหนักถึงปัญหาโลกร้อนตั้งแต่ยังเด็ก และเริ่มรณรงค์ด้วยตัวเอง การประท้วงของเธอจุดประกายให้เกิดการเคลื่อนไหวระดับนานาชาติ ที่เรียกว่า "School Strike for Climate" เธอมีโอกาสได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้นำโลกหลายครั้ง เรียกร้องให้ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ เช่น การกล่าวต่อสหประชาชาติและการประชุมวุฒิสภาของสหรัฐฯ
เธอได้รับการยกย่องให้เป็น "บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ (TIME) ประจำปี 2019 และเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลนี้ และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง "รางวัลโนเบล" สาขาสันติภาพ หลายครั้ง จากบทบาทในการสร้างความเคลื่อนไหวระดับโลกและช่วยสร้างสันติภาพ
ล่าสุด "ธันเบิร์ก" เข้าร่วมกับนักเคลื่อนไหวอีก 170 คน เดินทางไปกับกองเรือ "Global Sumud Flotilla" ซึ่งเป็นกองเรือนานาชาติช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในกาซา และเรียกต้องให้ "อิสราเอล" ยุติสงครามในฉนวนกาซา จนถูก "อิสราเอล" ควบคุมตัว
"ธันเบิร์ก" ได้กล่าวต่อผู้สนับสนุนของเธอว่า ได้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา ระบบระหว่างประเทศกำลังทรยศต่อชาวปาเลสไตน์ พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะป้องกันไม่ให้เกิดอาชญากรรมสงครามที่เลวร้ายที่สุดได้ ซึ่งเธอกับผู้ร่วมอุดมการณ์ ได้พยายามทำผ่านขบวนเรือ Global Sumud Flotilla ที่เป็นการลุกขึ้นทำหน้าที่แทนรัฐบาลของเราที่ "ล้มเหลว" ในการปฏิบัติตามพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศของตนเอง
การเคลื่อนไหวของ "ธันเบิร์ก" จากการมุ่งแก้ปัญหาโลกร้อน ไปจนถึงการพยายามช่วยเหลือ "ชาวปาเลสไตน์" ถือเป็นการดำเนินการอย่างจริงใจ และต่อเนื่องมายาวจน ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ และไม่มีสักครั้งที่เธอพูดว่า ทำเพราะอยากได้รางวัลโนเบล
คู่ปรับตลอดกาล "ทรัมป์ กับ ธันเบิร์ก" ปะทะฝีปากกันมาหลายครั้งเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อน เพราะทั้งคู่มีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยขณะที่ "ธันเบิร์ก" เรียกร้องให้ "มีการลงมือแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง" ทรัมป์ กลับ "มีนโยบายที่สนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล และมีทัศนคติที่ไม่เชื่อว่าภาวะโลกร้อนเกิดจากฝีมือมนุษย์"
นอกจากช่องว่างของวัยที่ห่างกันอย่างมาก ความคิดของทั้งคู่ยังอยู่กันคนละขั้ว โดย "ทรัมป์" มองว่าการรณรงค์เรื่องโลกร้อนเป็นการหลอกลวง ที่ทำลายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วน "ธันเบิร์ก" มองว่า การกระทำของทรัมป์เป็นการเพิกเฉยต่อปัญหาที่ร้ายแรง