svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

หรือว่าระเบียบโลกใหม่จะย้ายฝั่งมา "เอเชีย"

ผู้นำจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ และอิหร่าน ได้รวมตัวกันที่ปักกิ่ง ขณะที่ "แกนแห่งการเปลี่ยนแปลง" ปรากฏขึ้นเพื่อท้าทายตะวันตก อันเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ระเบียบโลกใหม่อาจกำลังย้ายมายังเอเชีย

02 กันยายน 2568 บารมีของ ประธานาธิบดีสี จิ้่นผิง ของจีน ในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization) หรือ SCO ที่นครเซี่ยงไฮ้ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่าที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของจีน โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อบรรดาผู้นำจากทั่วเอเชียและตะวันออกกลาง ตอบรับคำเชิญมาเข้าร่วมการประชุมระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากการประชุมจะจัดขึ้นอย่างพิถีพิถันแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับระเบียบโลกใหม่

ในบรรดาผู้นำที่เดินทางมาเข้าร่วมประชุมที่ถูกจับตามองมากที่สุด คือ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย , คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ, นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย และประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน ของอิหร่าน

นอกจากการประชุม SCO แล้ว จีนยังจะแสดงแสนยานุภาพอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดพิธีรำลึกครบรอบ 80 ปี แห่งชัยชนะของ "สงครามประชาชนจีนต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น" (Chinese People's War of Resistance against Japanese Aggression) และ "สงครามต่อต้านฟาสซิสต์โลก" (World Anti-Fascist War) ในวันที่ 3 กันยายนนี้

หรือว่าระเบียบโลกใหม่จะย้ายฝั่งมา "เอเชีย"

โดยถนนสายหลักของกรุงปักกิ่ง หรือ ถนนฉางอาน ที่เรียกกันว่า ถนนสันติภาพนิรันดร์ (Avenue of Eternal Peace) จะตระการตาด้วยขบวนพาเหรดทางทหารครั้งใหญ่ การอวดโฉมอาวุธความเร็วเหนือเสียงอันล้ำสมัย ขีปนาวุธนิวเคลียร์ และโดรนใต้น้ำ พร้อมด้วยทหารอีกหลายพันนาย 

นี่คือการแสดงให้เห็นทั้ง "อำนาจอ่อน" (soft power) และ อำนาจแข็ง (hard power) กับพลังที่ต้องการกำหนดกฎระเบียบใหม่ของโลก โดยไม่กลัวที่จะท้าทายกฎระเบียบของชาติตะวันตก ขณะที่การรวมตัวกันระหว่างผู้นำจีน, รัสเซีย, เกาหลีเหนือ และอิหร่าน ที่นักยุทธศาสตร์ในกรุงวอชิงตัน ดีซี เตือนว่า พวกเขากำลังก่อตั้ง "แกนแห่งการปฏิวัติ" หรือ "แกนแห่งความปั่นป่วน" (Axis of upheaval) เพื่อต่อต้านสหรัฐฯ 

ในขณะที่บรรดาผู้นำตะวันตกพยายามอย่างสุดกำลัง ที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อ "ปูติน" เพื่อยุติสงครามในยูเครนนั้น ผู้สังเกตการณ์ในโลกตะวันตก มองว่า อิหร่านกับเกาหลีเหนือ เป็นกำลังสำคัญของรัสเซีย โดยอิหร่านป้อนอาวุธ และเกาหลีเหนือสนับสนุนด้านกำลังทหาร ส่วนจีนช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่ถูกทำลายจากสงคราม

ยังมีภาพที่แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้น ระหว่างนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย กับปูติน ที่ทักทายประธานาธิบดีสีอย่างอบอุ่น มีการสวมกอดกัน จับมือกัน และเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน อันเป็นภาพที่ทรงพลังและการรวมตัวกันโดย "ปราศจากผู้นำจากตะวันตก"

หรือว่าระเบียบโลกใหม่จะย้ายฝั่งมา "เอเชีย"

โจนาธาน ซิน ประธาน  "Michael H. Armacost Chair" สาขานโยบายต่างประเทศศึกษาของมหาวิทยาลัย Brookings ให้ความเห็นว่า สิ่งที่ประธานาธิบดีสี พยายามสื่อคือความแน่นอนเกี่ยวกับบทบาทของจีน ในกิจการระหว่างประเทศ นี่เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนไปยังผู้คนทั่วภูมิภาคว่า จีนได้ก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจแล้ว และจะไม่ไปไหน

ดูเหมือนผู้นำจีน จะตระหนักดีถึงโอกาสที่การปฏิรูปนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ต่อจีน ในการกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุม SCO เขาได้เน้นย้ำประเด็นที่ว่าโลกกำลังตกอยู่ในภาวะผันผวนและวุ่นวาย และจีนคือมหาอำนาจที่มีความรับผิดชอบและมั่นคงที่จะนำพาโลกไปสู่อนาคต ซึ่งสวนทางกับสหรัฐฯ ที่ออกนโยบายตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ในอัตราที่สูงลิบ โดยเฉพาะอินเดียที่โดนอัตรา 50% เพื่อเป็นการลงโทษที่อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย และมองว่าเป็นการช่วยปูตินทำสงครามโจมตียูเครน 

นักสังเกตการณ์ มองว่า แม้กระทั่งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงอำนาจทางทหาร และความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นของจีนมาอย่างยาวนาน ในการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนในทะเลจีนใต้และไต้หวัน พลวัตของโลกที่เปลี่ยนไป อาจส่งผลกระทบได้เช่นกัน 

ไบรอัน ฮาร์ต นักวิจัยจาก (China Power Project) แห่งศูนย์การศึกษาด้านยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ (Center for Strategic and International Studies) หรือ CSIS ให้ความเห็นว่า ขบวนพาเหรดทางทหารของจีนในวันที่ 3 กันยายน ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ และอิหร่าน มาอยู่ในที่เดียวกัน 

จีนระมัดระวังที่จะไม่ให้ถูกมองว่า สนับสนุนการรุกรานของบางประเทศอย่างชัดเจน แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันอย่างกว้างขวางว่า จีนได้ส่งสินค้าที่ใช้ประโยชน์ได้ 2 ทาง จำนวนมากไปยังรัสเซีย ที่อยู่ในห้วงสงคราม และการที่ประธานาธิบดีสีทำให้พวกเขามาอยู่ด้วยกัน ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า เขาสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ว่าใคร "ควรได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ ไม่ว่าโลกตะวันตกที่เป็นประชาธิปไตย หรือสหรัฐฯ จะคิดอย่างไร