ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยกระดับสงครามการค้าอีกระลอก โดยโพสต์ในทรูธ โซเชียล เช้าวันศุกร์ (23 พฤษภาคม) ว่า เขาเสนอเก็บภาษีศุลกากรกับสหภาพยุโรป หรือ อียู 50% โดยจะเริ่มมีผลในวันที่ 1 มิถุนายน 2568 และให้เหตุผลว่า ด้วยมาตรการของอียู ได้แก่ กำแพงภารค้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม การลงลงโทษธุรกิจ กำแพงการค้าที่ไม่ใช่การเงิน การเก็งกำไรค่าเงิน การฟ้องร้องที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมเหตุผลต่อบริษัทอเมริกัน ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามากกว่า 250 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง และการเจรจาการค้ากับอียูไม่มีความคืบหน้า
ขณะที่โฆษกของคณะกรรมาธิการยุโรป ยังไม่แสดงความเห็นทันที นอกจากบอกว่าจะรอจนกว่ามาโรส เซฟโควิช ผู้แทนการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป และเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ สนทนากันทางโทรศัพท์ในวันนี้
โพสต์ของทรัมป์ทำให้ดัชนีหุ้นสำคัญของยุโรปและสหรัฐฯ ตกลงอย่างแรง โดยดัชนี DAX ของเยอรมนี และ CAC ของฝรั่งเศส ดิ่งลง 2.4% และ 2.2% ตามลำดับ และดัชนี FTSE ของอังกฤษ ลดลง 1% ส่วนดัชนีดาวโจนส์ ของสหรัฐฯ ลดลง 1.15%
เดิมทรัมป์ประกาศเก็บภาษีศุลกากรอียู 20% ที่จะเริ่มมีผลในต้นเดือนเมษายน แต่ทรัมป์ระงับไว้ชั่วคราวจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม เพื่อให้มีเวลาเจรจา
เพียงไม่กี่นาทีก่อนการโพสต์ขู่อียู ทรัมป์โพสต์ว่า เขาเคยบอกทิม คุก ซีอีโอ ของแอปเปิลนานแล้วว่า อยากให้ไอโฟนที่จะขายในสหรัฐฯ จะต้องผลิตในสหรัฐฯ ไม่ใช่อินเดียหรือที่อื่น และหากไม่เป็นตามนั้น แอปเปิลจะต้องจ่ายภาษีอย่างน้อย 25% ให้สหรัฐฯ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ก็กล่าวแสดงความผิดหวังที่แอปเปิลไม่ผลิตไอโฟนในสหรัฐฯ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแอปเปิลพยายามย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ และการผลิตไอโฟนบางส่วนย้ายไปอินเดียแล้ว และคุก บอกกับผู้ลงทุนช่วงต้นเดือนนี้ว่า เขาคาดหวังว่า ไอโฟนส่วนใหญ่ที่จะขายในสหรัฐฯ จะผลิตในอินเดียเป็นหลัก และเตือนด้วยว่า แอปเปิลจะต้องแบกต้นทุนเพิ่มจากภาระภาษีอีก 900 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้ จากการขึ้นภาษีของทรัมป์กับสมาร์ทโฟนและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นำเข้า แต่ต่อมาทรัมป์ยอมยกเว้นสินค้ากลุ่มนี้ จากการขึ้นภาษีกับสินค้าจากจีน ที่เป็นฐานผลิตสำคัญของแอปเปิลและบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ หลายราย