ทำเนียบประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ เผยแพร่แถลงการณ์ของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ในวันพฤหัสบดี (22 พฤษภาคม) ที่สะท้อนถึงผลการเลือกตั้งกลางเทอมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ประชาชนแสดงออกแล้วและคาดหวังผลลัพธ์ ซึ่งรัฐบาลรับฟังและจะตอบสนอง พร้อมกับร้องขอให้คณะรัฐมนตรีทั้งหมดลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นการตัดสินใจเพื่อปรับเปลี่ยนคณะรัฐบาลตามความคาดหวังของประชาชน
การตัดสินใจนี้จะทำให้ประธานาธิบดีสามารถประเมินการทำงานของแต่ละกระทรวงและตัดสินใจว่าใครจะยังคงดำรงตำแหน่งในรัฐบาลที่ปรับเปลี่ยนใหม่ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นการปรับเปลี่ยนตามผลงาน ความเหมาะสม และความเร่งด่วน และบอกด้วยว่า รัฐบาลไม่มีเวลาชะล่าใจแล้ว เพราะเวลาของความสุขสบายจบแล้ว
รัฐมนตรีอย่างน้อย 21 คน ยื่นหนังสือลาออกทันที หรือแสดงเจตนาว่าจะลาออกแล้ว และแถลงการณ์ของรัฐบาล ระบุว่า การทำงานของรัฐบาลจะไม่หยุดชะงักในช่วงเปลี่ยนผ่าน และการรีเซ็ตครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลก้าวสู่เฟสใหม่ที่มุ่งเน้นการทำงานและผลลัพธ์เพื่อตอบสนองความต้องการเร่งด่วนที่สุดของประชาชน
การตัดสินใจนี้มีขึ้นหลังจากการเลือกตั้งกลางเทอมเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมสะท้อนถึงการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างตระกูลมาร์กอส และตระกูลดูเตร์เต และฝ่ายของมาร์กอสเพลี่ยงพล้ำในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก 12 ที่นั่ง หรือครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 24 ที่นั่ง
ผู้สมัครฝ่ายอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต และรองประธานาธิบดีซารา ดูเตร์เต บุตรสาว สามาถคว้า 5 ที่นั่ง จาก 12 ที่นั่ง โดยเสียงข้างมากในวุฒิสภามีความสำคัญต่อการพิจารณาถอดถอนรองประธานาธิบดีดูเตร์เตที่จะจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม
นอกจากนี้อดีตประธานาธิบดีดูเตร์เต ยังสามารถชนะเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองดาเวา ทั้งที่เขาถูกคุมขังในกรุงเฮกของเนเธอร์แลนด์ระหว่างการถูกพิจารณาคดีข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติสืบเนื่องจากสงครามกวาดล้างยาเสพติดที่มีผู้เสียชีวิตราว 6,000 คน
ส่วนผลเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร พรรคของประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ และพันธมิตรยังสามารถครองเสียงข้างมาก
ประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ เผยแพร่คลิปพอดแคสต์ครั้งแรกเมื่อวันจันทร์ ที่ยอมรับว่า ประชาชนผิดหวังต่อการทำงานของรัฐบาล โดยระบุว่า เขามุ่งเน้นโครงการใหญ่ ๆ ทั้งด้านการท่องเที่ยว, สาธารณสุข และคมนาคม เป็นต้น ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานกว่าจะส่งผล นอกจากนี้เขาสรุปด้วยว่า ผลเลือกตั้งสะท้อนว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเบื่อหน่ายกับการเมือง และถึงเวลาหยุดเล่นการเมือง และให้ความสำคัญกับการบริการสาธารณะแทน