
นายกรัฐมนตรีมาร์ค คาร์นีย์ ของแคนาดา ที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว พบหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกที่ทำเนียบขาวระหว่างการเยือนสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร (6 พฤษภาคม) ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด หลังจากทรัมป์ย้ำอยากได้แคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ และประกาศขึ้นภาษีศุลกากรหลายระลอกกับแคนาดา
แม้ทั้งสองเริ่มต้นการหรือด้วยบรรยากาศค่อนข้างอบอุ่นจากการกล่าวชื่นชมอีกฝ่ายขณะพบกันในห้องทำงานรูปไข่ แต่ต่อมาสองฝ่ายย้ำจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
นายกรัฐมนตรีคาร์นีย์คัดค้านความพยายามของทรัมป์ที่จะให้แคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ โดยบอกว่า “อย่างที่คุณรู้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สถานที่บางแห่งไม่ได้มีไว้ขาย” และเปรียบเทียบแคนาดาเหมือนกับทำเนียบขาวของสหรัฐฯ และพระราชวังบักกิงแฮมของอังกฤษ พร้อมทั้งย้ำว่า จะไม่มีวันขายตลอดไป
แต่ทรัมป์ตอบกลับว่า “อย่าพูดว่าไม่มีวัน”
และเมื่อผู้สื่อข่าวซักถามทรัมป์ว่า ผู้นำแคนาดายังสามารถเจรจาโน้มน้าวให้ยกเลิกภาษีศุลกากรได้หรือไม่ เขาตอบว่า “ไม่” และ “มันต้องเป็นอย่างนั้น” แม้เขายืนยันว่า การสนทนาเป็นไปด้วยความเป็นมิตรอย่างมาก
ทรัมป์ขึ้นภาษีศุลกากรกับสินค้าทั่วไปจากแคนาดา 25% และขึ้นภาษีเฉพาะกับรถยนต์ แต่ระงับไว้บางส่วนระหว่างมีการเจรจา และยังขึ้นภาษี 25% สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียม
คาร์นีย์ แถลงข่าวที่สถานทูตแคนาดา โดยบอกว่า เขาได้ย้ำเรื่องการเจรจาขอให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีศุลกากร และพบว่าทรัมป์ยินดีที่จะเจรจา แต่คาร์นีย์ไม่ระบุเรื่องเวลา โดยบอกว่าทั้งผู้นำและทีมของสองประเทศจะพูดคุยกันอีกครั้งในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า และเขายังย้ำให้ทรัมป์หยุดเรียกร้องให้แคนาดาเป็นรัฐในสหรัฐฯ และเชื่อว่า ทรัมป์เข้าใจความแตกต่างระหว่างความปรารถนา และความเป็นจริง และเข้าใจด้วยว่า เรากำลังเจรจาในฐานะรัฐอธิปไตยทั้งคู่
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ดีขึ้นหรือแย่ลง หลังการพบทรัมป์ คาร์นีย์ บอกว่า เป็นการพบปะที่สร้างสรรค์มาก รู้สึกดีขึ้นในหลายแง่มุม แต่ไม่ได้หมายความว่า การพบกันครั้งเดียว แล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้านี้คาร์นีย์ กล่าวในวันประกาศชัยชนะหลังทราบผลเลือกตั้งว่า ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างสหรัฐฯ และแคนาดาแต่เก่าก่อนได้จบลงแล้ว และแคนาดาต้องปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจในระดับรากฐานเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ในยุคสมัยทรัมป์