สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลงมติด้วยเสียง 215 เสียง จาก 306 เสียง สนับสนุนให้เริ่มกระบวนการถอดถอนรองประธานาธิบดีซารา ดูเตร์เต บุตรสาวของอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต ด้วยข้อกล่าวหาคดีทุจริต ซึ่งเสียงสนับสนุนท่วมท้นเกินกว่าเกณฑ์ที่จะต้องได้รับการสนับสนุน 1 ใน 3 ของสภา
และร่างกฎหมายถอดถอนรองประธานาธิบดีจะยื่นเข้าสู่วุฒิสภาเพื่อเปิดการไต่สวน โดยวุฒิสมาชิก 24 คน จะทำหน้าที่เป็นคณะลูกขุนเพื่อตัดสินว่าเธอกระทำความผิดจริงหรือไม่ ซึ่งหากตัดสินว่า เธอมีความผิดจริง ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่ง และถูกตัดสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต และเธอจะเป็นรองประธานาธิบดีคนแรกในฟิลิปปินส์ที่ถูกถอดถอนพ้นตำแหน่ง
นางดูเตร์เตถูกกล่าวหาว่าใช้งบของภาครัฐโดยมิชอบหลายล้านดอลลาร์ แต่เธอปฏิเสธข้อกล่าวหา และอ้างว่าตกเป็นเหยื่อของการล้างแค้นทางการเมือง
ความเคลื่อนไหวถอดถอนรองประธานาธิบดีมีขึ้นหลังจากเธอกล่าวขณะไลฟ์สดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ว่า เธอได้ว่าจ้างคนเพื่อสังหารประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ หากเธอถูกสังหาร ซึ่งสะท้อนถึงความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือนระหว่างตระกูลการเมืองดูเตร์เต และมาร์กอส แม้ว่าต่อมาเธอปฏิเสธว่า ไม่ได้ขู่สังหารนายมาร์กอส
รองประธานาธิบดีดูเตร์เตได้รับการคาดหมายอย่างกว้างขวางว่าจะเป็นผู้นำฟิลิปปินส์คนต่อไป เนื่องจากประธานาธิบดีไม่สามารถลงสมัครเลือกตั้งในปี 2028 ได้เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ดำรงตำแหน่งได้สมัยเดียวที่มีวาระ 6 ปี
ขณะที่การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคมนี้จะเป็นเหมือนการลงประชามติต่อประธานาธิบดีมาร์กอสหลังดำรงตำแหน่งได้ 3 ปี และเป็นตัวชี้วัดเสียงสนับสนุนต่อนางดูเตร์เตด้วย
นับตั้งแต่สิ้นยุคเผด็จการของเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซีเนียร์ และการฟื้นฟูประชาธิปไตยในปี 2529 และมีประธานาธิบดีเพียงคนเดียวที่ถูกถอดถอนขณะดำรงตำแหน่ง คือ โจเซฟ เอสตราดา ในปี 2543 จากคดีคอร์รัปชัน การไต่สวนจบลงโดยยังไม่มีคำตัดสิน หลังจากการประท้วงของประชาชนบีบให้เขาลาออกจากตำแหน่งในเดือนมกราคม 2544