เกาหลีเหนือโทษสหรัฐฯ-เกาหลีใต้ ดันคาบสมุทรสู่อันตรายขีดสุด

กองทัพเกาหลีใต้และสหรัฐฯ จัดการซ้อมรบทางอากาศเหนือทะเลเหลืองเมื่อวันพุธ  (1 ก.พ.) โดยมีเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-1บี และ เครื่องบินขับไล่ เอฟ-22 และ เครื่องบินขับไล่สเตลท์ เอฟ-35 ของสหรัฐฯ เข้าร่วมการฝึกกับเครื่องบินขับไล่ เอฟ-35เอ ของเกาหลีใต้

การซ้อมรบมีเป้าหมายเพื่อยืนยันความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ที่จะปกป้องชาติพันธมิตรอย่างเต็มศักยภาพของกองทัพ และการซ้อมรับจัดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และอี จอง-ซุป รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้ หารือร่วมกันที่กรุงโซล และตกลงร่วมกันว่าจะเพิ่มความถี่ของการซ้อมรบร่วมมกขึ้น และขยายระดับและขนาดของการซ้อมรบ

นอกจากนี้ออสติน บอกด้วยว่า สหรัฐฯ จะขยายการประจำการของอาวุธทางยุทธศาสตร์ ที่รวมถึง เครื่องบินเอฟ-22 และเครื่องบินสเตลท์เอฟ-35  ในคาบสมุทรเกาหลี และวางแผนจัดการซ้อมรบในเดือนนี้ เพื่อเตรียมรับมือหากเกาหลีเหนือใช้อาวุธนิวเคลียร์

แต่โฆษกกระทรวงต่างประเทศของเกาหลีเหนือ ออกแถลงการณ์ที่เป็นภาษาอังกฤษในวันพฤหัสบดี ระบุว่า สหรัฐฯ กำลังทำให้สถานการณ์ความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลีมุ่งหน้าสู่เส้นอันตรายขีดสุด (extremely red-line) และทวีความตึงเครียดยิ่งขึ้น ผ่านการซ้อมรบทางทหารที่ใหญ่ขึ้นกับเกาหลีใต้ นอกจากนี้การขยายการซ้อมรบจะทำให้คาบสมุทรเกาหลีกลายเป็นคลังสรรพาวุธขนาดใหญ่ และสมรภูมิขั้นวิกฤต

นอกจากนี้เกาหลีเหนือจะดำเนินการตอบโต้อย่างหนักหน่วงที่สุดต่อการเคลื่อนไหวทางทหารใด ๆ ของสหรัฐฯ ภายใต้หลักการ “นิวเคลียร์ต่อนิวเคลียร์ และการสู้รบอย่างเต็มกำลังกับการสู้รบอย่างเต็มกำลัง”

แถลงการณ์ยังระบุอีกว่า หากสหรัฐฯ ยังคงนำอาวุธทางยุทธศาสตร์เข้าสู่คาบสมุทรเกาหลีและบริเวณโดยรอบ เกาหลีเหนือก็จะเพิ่มความสามารถในการป้องปรามมากขึ้นให้ทัดเทียมกัน ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่า ไม่สนใจเข้าร่วมการเจรจาใด ๆ กับสหรัฐฯ ตราบใดที่ฝ่ายหลังยังดำเนินนโยบายเป็นปรปักษ์ต่อเกาหลีเหนือ

ในปี 2565 เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธเกือบ 70 ลูก ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในปีเดียว ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า เกาหลีเหนืออาจทดสอบนิวเคลียร์ในอนาคตอันใกล้