ชาวญี่ปุ่นอยากให้เลือกตั้งใหม่ เพื่อชี้ชะตาแผนขึ้นภาษี

สำนักข่าวเกียวโด นิวส์ เผยแพร่ผลสำรวจเมื่อวันอาทิตย์ว่า ผู้ตอบคำถาม 77.9% อยากให้นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ จัดการเลือกตั้งใหม่เพื่อขอฉันทามติจากประชาชนว่าสนับสนุนแผนการปรับขึ้นภาษี เพื่อนำเงินไปเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือไม่ แต่ 19.3% บอกไม่จำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งใหม่

ผลโพลล์ยังพบว่า ผู้ตอบคำถาม 62.9% สนับสนุนนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงดูเด็กเพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด แต่ 63.6% ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มภาระใด ๆ เพื่อหาเงินสนับสนุนนโยบายต่าง ๆ ของเขา รวมถึง การปรับขึ้นภาษีการบริโภค ขณะที่ 32.6% บอกว่า ยอมรับได้

ส่วนแผนของคิชิดะที่เรียกร้องให้ภาคธุรกิจปรับขึ้นค่าจ้างให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบต่อครัวเรือน มีผู้ตอบคำถามเพียง 16.5% เชื่อว่า จะมีการปรับขึ้นค่าจ้าง และ 80.7% เชื่อว่า ไม่สามารถทำได้

นอกจากนี้จากการสำรวจความคิดเห็นทางโทรศัพท์ระหว่างวันที่ 28-29 ม.ค. พบว่า คะแนนนิยมของรัฐบาลยังคงอยูที่  33.4% ใกล้เคียงกับ 33.1% ในเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นคะแนนนิยมต่ำที่สุดนับตั้งแต่รัฐบาลเข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2564

เมื่อเดือน ธ.ค. รัฐบาลเพิ่งประกาศยุทธศาสต์ด้านความมั่นคงฉบับใหม่ ที่จะเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเกือบสองเท่าเป็น 43 ล้านล้านเยน ภายใน 5 ปี

และคิชิดะแถลงนโยบายในวันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 23 ม.ค. ว่า จะดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้มีงบประมาณเพียงพอในการบรรลุเป้าหมายจัดสรรงบด้านกลาโหมประจำปีคิดเป็น 2% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศภายใน 5 ปี เหมือนกับชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต ซึ่ง 1 ใน 4 ของงบประมาณส่วนนี้จะมาจากการปรับขึ้นภาษี

แต่พรรคฝ่ายค้านผนึกกำลังกันคัดค้านข้อเสนอปรับขึ้นภาษีเพื่อหาเงินสนับสนุนการใช้จ่ายด้านกลาโหม  และชาวญี่ปุ่นจำนวนมากวิตกว่า การปรับขึ้นภาษีการบริโภคอาจฉุดให้ยอดใช้จ่ายของครัวเรือนและภาคธุรกิจลดลง ซึ่งจะขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจ

นอกจากนี้คิชิดะแถลงนโยบายสำหรับเด็กและสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็กเพื่อลดปัญหาประชากรหดตัว โดยจะเพิ่มงบประมาณเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า แต่นักวิเคราะห์ มองว่า เขาชูนโยบายนี้เพื่อเรียกคะแนนนิยมของรัฐบาลจากสามีภรรยาวัยหนุ่มสาว ก่อนจะมีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในเดือน เม.ย.  แต่ยุทธศาสตร์นี้อาจใช้ไม่ได้ผลเพราะประชาชนกลัวว่าจะปรับเพิ่มภาษีสูงขึ้นตามมาด้วย

และนักเศรษฐศาสตร์หลายคน บอกว่า คิชิดะควรพยายามทบทวนรายจ่ายของรัฐบาลอย่างจริงจัง เพื่อจัดสรรงบประมาณสำหรับนโยบายเกี่ยวกับเด็ก ก่อนจะพิจารณาขึ้นภาษี

นอกจากนี้นักวิเคราะห์ ระบุด้วยว่า คิชิดะไม่มีอิทธิพลทางการเมืองเพียงพอที่จะผลักดันการปฏิรูปใด ๆ ได้ และหากพรรครัฐบาลของเขาพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งท้องถิ่นและการเลือกตั้งซ่อมเก้าอี้ ส.ส. ที่ว่างลงในเดือน เม.ย. อาจทำให้มีแรงกระเพื่อมเพื่อกดดันให้เขาพ้นจากตำแหน่งก็เป็นได้ ซึ่งอาจทำหลายความหวังของเขาที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มจี7 ในเดือน พ.ค. ที่เขตเลือกตั้งของเขาในเมืองฮิโรชิมา