บริษัท เน็ตฟลิกซ์ หนึ่งในผู้ให้บริการสตรีมมิ่งรายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่า รีด แฮสติงส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท จะลาออกจากตำแหน่งประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ ซีอีโอ แต่จะยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร โดยเกร็ก ปีเตอร์ส และเท็ด ซาแรนโดส จะดำรงตำแหน่งซีอีโอร่วมกัน
ในวันเดียวกันบริษัทเผยแพร่ผลประกอบการของปี 2565 ระบุว่า มียอดสมาชิกทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 230 ล้านราย โดยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายมีสมาชิกใหม่เพิ่มเกือบ 7.7 ล้านราย เกินกว่าที่บริษัทคาดหมายไว้ และรายได้ในไตรมาสสุดท้ายพุ่งสูงขึ้นเป็น 7,900 ล้านดอลลาร์ แต่ยอดกำไรตลอดทั้งปีลดลงจากปี 2564 ถึงอย่างนั้นบริษัทยังมียอดกำไรสูงกว่าคู่แข่ง
ในปี 2565 เป็นปีที่ยากลำบากของเน็ตฟลิกซ์ โดยตั้งแต่ต้นปีก็เจอการแข่งขันอย่างดุเดือดจากบรรดาคู่แข่ง เช่น แอมะซอน, เอชบีโอ, แอปเปิลทีวี และดิสนีย์ ทำให้บริษัทต้องปลดพนักงานหลายร้อยคน ปรับขึ้นค่าสมาชิกเพื่อบรรเทาภาระจากต้นทุนสูงขึ้น แต่ก็ทำให้ยอดสมาชิกลดลงในช่วงครึ่งปีแรก
และในช่วงไตรมาสสุดท้าย ที่มียอดสมาชิกเพิ่มขึ้นเกิดคาด น่าจะได้อานิสงส์จาก ซีรีส์สารคดี "Harry & Meghan" และซีรีส์ "Wednesday" ที่ปล่อยออกมาแย่งชิงผู้ชมรายการสตรีมมิง
นอกจากนี้มื่อเดือน พ.ย. เน็ตฟลิกซ์ออกบริการใหม่ที่มีโฆษณาและราคาถูกลงใน 12 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ก็ได้รับผลตอบรับที่ดี แม้ว่าไม่ได้ส่งผลมากนักต่อยอดสมาชิกในไตรมาสสุดท้าย
ขณะที่ราคาหุ้นของเน็ตฟลิกซ์ ที่ร่วงลงไปเกือบ 38% ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา กลับพุ่งสูงขึ้น 6.1% ในช่วงการซื้อขายหลังปิดตลาด เมื่อบริษัทเผยยอดสมาชิกสูงเกินความคาดหมายในช่วงไตรมาสสุดท้าย
แฮสติงส์ร่วมก่อตั้งเน็ตฟลิกซ์ในปี 2550 และสร้างความเปลี่ยนแปลงในการรับชมภาพยนตร์และรายการของครัวเรือน โดยเริ่มจากบริการให้เช่ายืมดีวีดีและแผ่นบลูเรย์ทางไปรษณีย์ในสหรัฐ สู่บริการถ่ายทอดสดผ่านอินเทอร์เน็ต สร้างความสั่นสะเทือนแก่บริษัทให้เช่าวิดีโอ อย่าง บล็อกบัสเตอร์ และสั่นคลอนวงการฮอลลีวูด ด้วยการแตกธุรกิจเพื่อลงทุนผลิตคอนเทนต์ของตัวเอง
การลาออกของเขาทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของเน็ตฟลิกซ์ในอนาคต และซีอีโอร่วมจะต้องตัดสินใจเรื่องใหญ่ เช่น การบริหารจัดการรายจ่ายที่สูงมาก และการแชร์พาสเวิร์ด