การสั่งปิด "สำนักข่าวอิรวดี" (Irrawaddy news agency) มีขึ้นตามประกาศผ่านสื่อของรัฐโดยกระทรวงสารสนเทศ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่าได้เพิกถอนใบอนุญาตสื่อสิ่งพิมพ์ของอิรวดีตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม โดยกล่าวหาว่า งานของพวกเขาได้สร้างความเสียหายต่อ "ความมั่นคงของรัฐ" และ "ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง"
นับตั้งแต่กองทัพภายใต้การนำของพลเอกอาวุโส มิน อ่องหล่าย ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ได้มีการปราบปรามเสรีภาพสื่อ และสั่งปิดไปแล้วอย่างน้อย 20 กลุ่ม ทั้งสำนักข่าว, สำนักพิมพ์และโรงพิมพ์ ขณะที่สื่อ อิรวดี ต้องเผชิญการถูกคุกคามสารพัดรูปแบบจากกองทัพ ทั้งการดำเนินคดีทางกฎหมาย บุกจู่โจม ทำลาย จับกุม และอื่น ๆ
สำนักข่าว อิรวดี ก่อตั้งในประเทศไทยเมื่อปี 2536 และเป็นที่รู้จัก จากการรายงานข่าวด่วน และข่าวสืบสวน เกี่ยวกับการความโหดร้ายของระบอบเผด็จการทหาร ทั้งภาษาพม่า และภาษาอังกฤษ และยังเสนอข่าวในเชิงส่งเสริมประชาธิปไตย เสรีภาพสื่อ และสิทธิมนุษยชนในเมียนมา จนกระทั่งเมียนมา เปิดประเทศในปี 2555 สำนักข่าว อิรวดี ได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปอยู่ใน
ประเทศเมียนมา จนกระทั่งเกิดรัฐประหารเมื่อปีที่ผ่านมา
หลังจากนั้นบทบรรณาธิการของ อิรวดี ได้วิพากษ์วิจารณ์การปกครองของทหาร และการปฎิบัติต่อผู้ต่อต้าน เช่น การวิสามัญฆาตกรรม, การจับกุมโดยพลการ, การโจมตีทางอากาศใส่พลเรือน, เผาทำลายบ้านเรือนประชาชน และอื่น ๆ รวมทั้งสื่อ อิรวดี ยังเปิดโปงเครือข่ายนักธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ
ต่อมาเดือนมีนาคม ปี 2564 สำนักข่าวอิรวดี ถูกกองทัพ ใช้กฎหมายมาตรา 505 (a) ดำเนินคดีโดยอ้างว่า "เพิกเฉย" ต่อกองทัพเมียนมา ในการรายงานข่าวการประท้วงต่อต้านเผด็จการทหารที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนั้น ซึ่ง ตำรวจ ดำเนินคดีในฐานะองค์กรโดยรวมไม่ได้ฟ้องร้องเป็นรายบุคคล ทำให้ สำนักข่าวอิรวดี เป็นสื่อแห่งแรกที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งองค์กร
และ ยังถูกกองกำลังความมั่นคงบุกทลายสำนักงาน ในนครย่างกุ้ง ถึง 2 ครั้ง แต่เคราะห์ดีที่ สำนักข่าว อิรวดี เลิกทำงานในเมียนมาไปแล้วหลังการรัฐประหาร
ทั้งนี้ก่อนการสั่งปิดสื่อ อิรวดี ทางการได้จับกุม อูต่องวิน ผู้ตีพิมพ์เผยแพร่อิรวดี ซึ่งปัจจุบันเขายังคงอยู่ถูกคุมขัง และอดีตช่างภาพข่าวที่เคยทำงานให้ อิรวดี ชื่อ "ซอซอ" ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี จากข้อหาปลุกระดม เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และพบว่า มีการบุกทลายบ้านของกองบรรณาธิการอีกคนหนึ่งด้วย