แรงงานหลายพันคนเดินขบวนในกรุงปารีสในวันอังคาร (18 ต.ค.) และผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งปิดกั้นถนน รวมถึงทุบทำลายร้านค้า และปะทะกับตำรวจปราบจลาจล ในขณะที่สมาชิกสหภาพแรงงานต่าง ๆ ร่วมผละงานทั่วประเทศเพื่อระบายความโกรธแค้นต่อปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูงที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ระดับ 6.2% และขอปรับขึ้นค่าจ้าง การประท้วงครั้งนี้เป็นหนึ่งในความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดของประธานาธิบดีเอ็มมานูแอล มาครง นับตั้งแต่ได้รับการเลือกตั้งสมัยที่สองเมื่อเดือน พ.ค.
แรงงานที่เข้าร่วมหยุดงานประท้วงครั้งนี้มีทั้งแรงงานของการรถไฟและระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ บริษัทรถบรรทุกและรถโดยสาร ครูระดับมัธยม และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลของรัฐ โดยเป็นการผละงานตามเสียงเรียกร้องของสหภาพแรงในอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันที่ผละงานมานานหลายสัปดาห์เพื่อผลักดันการปรับขึ้นค่าจ้าง และประท้วงการแทรกแซงของรัฐบาลที่ใช้อำนาจบังคับให้แรงงานกลับเข้าทำงาน
กระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่า มีครูโรงเรียนมัธยมปลายเกือบ 10% ร่วมผละงาน และบริษัทโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ EDF ของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า แรงงานกว่า 16% ร่วมผละงาน ซึ่งอาจส่งผลให้การซ่อมบำรุงเตาปฏิกรณ์อาจต้องล่าช้าออกไป
การผละงานล่าสุดส่งผลกระทบให้บริษัท เอสเอ็นซีเอฟ ต้องยกเลิกการเดินรถไฟครึ่งหนึ่ง และบริษัท อาร์เอทีพี ที่ให้บริการรถโดยสารก็ได้รับผลกระทบด้วย แต่ระบบรถไฟในตัวเมืองชั้นในของกรุงปารีสยังไม่ได้รับผลกระทบ และยูโรสตาร์ต้องยกเลิกการเดินรถไฟบางส่วนระหว่างกรุงลอนดอนและกรุงปารีสเนื่องจากการสไตรก์
ขณะที่สมาชิกสหภาพแรงงาน CGT ยังคงเรียกร้องให้มีการผละงานที่บริษัทโททาลเอ็นเนอร์ยีส์ต่อไปเป็นสัปดาห์ที่ 4 แม้ว่าบริษัทบรรลุข้อตกลงที่จะปรับขึ้นค่าจ้างให้ 7% และการแจกโบนัสกับสหภาพแรงงานกลุ่มอื่นเมื่อวันศุกร์ โดย CGT ต้องการให้ปรับขึ้นค่าจ้าง 10% โดยอ้างปัญหาเงินเฟ้อและกำไรมหาศาลของบริษัท
การผละงานของแรงงานโรงกลั่นน้ำมัน ส่งผลให้ขณะนี้สถานีบริการน้ำมันราว 25% ขาดแคลนน้ำมันชั่วคราว และผู้ขับขี่ต้องเข้าแถวรอหลายชั่วโมงเพื่อเติมน้ำมัน
ผลสำรวจที่เผยแพร่ทาง บีเอฟเอ็ม ทีวี ระบุว่า ประชาชนเพียง 39% สนับสนุนการผละงานประท้วงทั่วประเทศครั้งนี้ และ 49% คัดค้าน และมีเสียงคัดค้านเพิ่มขึ้นต่อการผละงานของแรงงานโรงกลั่นน้ำมัน