นายวรุต รุ่งขํา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด เปิดเผยถึงทิศทางราคาทองคำในสัปดาห์นี้กับ Nation Online ว่า ตลาดรอลุ้นผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ คาดขึ้นดอกเบี้ย 0.50 % หลังจากที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาก่อนหน้านี้ 0.75% ต่อเนื่องมาถึง 4 ครั้ง
นอกจากนี้วาณิชย์ธนกิจขนาดใหญ่ต่างมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยหากปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อนื่อง มีความเสี่ยงในปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะแย่ ซึ่งหากเฟดลดท่าทีแข็งกร้าวลงจะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนและทองคำจะดีดปรับตัวขึ้น
ขณะเดียวกันติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) จะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% หรือมากกว่า 0.50% หลังตัว เลขเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น ซึ่งหากยุโรปขึ้นดอกเบี้ยจะหนุนทองคำขยับราคาคาขึ้น
สำหรับราคาทองคำช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาราคาทองแท่งต่ำสุดที่ประมาณ 29,100 บาท และสูงสุดที่ราคา 30,300 บาท ซึ่งช่วงระดับราคา 29,000-30,000 บาท เป็นกรอบเคลื่อนไหวในประเทศ
โดยทองคำปรับขึ้นรับข่าวเฟดชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอยไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งต้องรอดูตัวเลข CPI วันอังคารก่อนประชุมเฟดว่าเป็นอย่างไร
"หากเฟดส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าราคาทองคำอาจไม่ปรับขึ้นมากนัก เพราะปรับขึ้น รับข่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว และถ้าเงินเฟ้อเร่งตัวและเฟดจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อ และไม่รู้ว่าดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ สูงสุดจะไปอยู่ที่ไหน ก็อาจทำให้ทองคำถูกเทขายออกมาได้ "
ทั้งนี้ในช่วงเดือนก.ย.-พ.ย. ทองคำมีกรอบแนวรับที่ 1,614-1,617 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์และระดับสูงสุดอยู่ที่เดือนส.ค. แตะระดับ 1,807 ,1,814 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และถ้าผลประชุมส่งสัญญาณทางลบขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องราคาทองคำต่างประเทศอาจปรับตัวลงแตะระดับ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่หากผลประชุมไม่ชัดเจนทำให้ตลาดตกใจทองแกว่งไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ
ส่วนแนวรับแรกอยู่ที่ 1,776 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 29,250 บาท แนวรับถัดไปที่ 1,759 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ทองแท่งอยู่ที่ 29,000 บาท แนวต้านแรกอยู่ที่ 1,809 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ทองแท่งอยู่ที่ 29,250 บาท แนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1,824 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ทองแท่งอยู่ที่ 30,050 บาท
อย่างไรก็ตามราคาทองคำได้ปรับตัวลง 4 สัปดาห์แม้ว่าราคาต่างประเทศจะขยับ แต่เงินบาทที่แข็งค่าทำให้ราคาไม่ได้สูงขึ้นมากนัก