svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

"เมเจอร์" ดึงหนังฟอร์มยักษ์ฮอลลีวูดฉายในไทย

13 ธันวาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

 เมเจอร์จัดทัพตารางหนังฟอร์มยักษ์ฮอลลีวูด-หนังไทยเข้าฉายปีหน้าคึกคัก ปั๊มรายได้ทะลุหมื่นล้าน  พร้อมสยายปีกขยายสาขา-ธุรกิจป๊อปคอร์นวงเงินกว่า  1,000 ล้านบาท

นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  บริษัทวางงบลงทุนในปี 66 ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท   ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีหลังจากที่ไม่ลงทุนมานานเพราะเจอผลกระทบโควิด 

แบ่งเป็นโรงภาพยนตร์ใช้งบลงทุน 600 ล้านบาท มีจำนวน 13 สาขา รวม 49 โรง พร้อมขยายสาขาโบว์ลิ่ง 3 สาขา รวม 40 เลน และคาราโอเกะ 30 ห้อง  ส่วนเงินที่เหลือ 400 ล้านบาท ใช้ในการปรับปรุงธุรกิจในทุกภาค

ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีโรงภาพยนตร์ 180 สาขา แบ่งเป็น ประเทศไทย 172 สาขา และต่างประเทศ 8 สาขา รวม 839 โรง หรือ 188,973 ที่นั่ง สาขาโบว์ลิ่ง บลูโอฯ 8 สาขา รวม 210 เลน คาราโอเกะ รวม 121 ห้อง และห้องแพลตินั่ม รวม 9 ห้อง

 

 

"เมเจอร์" ดึงหนังฟอร์มยักษ์ฮอลลีวูดฉายในไทย

นอกจากนี้ได้นำเทคโนโลยีล่าสุดของภาพยนตร์มาบริการให้คนไทย ทั้งระบบการฉายภาพยนตร์ IMAX with LASER และเปิดโรงภาพยนตร์ ScreenX PLF ในรูปแบบ Premium Large Format แห่งใหม่ และลงทุนในเทคโนโลยี CAPSULE HOLOGRAM รายแรกของโลก

ขณะเดียวกัน จะมุ่งดำเนินธุรกิจเน้นใน 3 เรื่องหลัก คือ 1. Customer Experian เป็นกลยุทธ์ที่ทำตั้งแต่มีโควิด และยังทำต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงการดูหนังในโรงที่ได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น

2. Thai Movie Content มุ่งสร้างและสนับสนุนหนังไทย ให้เป็นซอฟท์พาวเวอร์ต่อไป รวมถึงต้องการให้สัดส่วนรายได้รวมของตลาดหนังไทยทำได้ 50% เท่าหนังฮอลลีวูด ซึ่งปีนี้อยู่ที่ 30% จากทั้งหมด 40 เรื่องที่เข้าโรงฉาย และปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มเป็น 40% โดยปีหน้าเมเจอร์ตั้งเป้าผลิตหนังไทยไม่ต่ำกว่า 10-15 เรื่อง

3.New Bisiness กับธุรกิจป๊อปคอร์น จากตลอดระยะเวลา 3 ปีที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ทุกธุรกิจเกิดการชะงัก แต่ในส่วนของการจำหน่ายป๊อปคอร์นกลับมีตัวเลขการเติบโตของรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะยอดขายป๊อปคอร์นนอกโรงหนัง (Out Cinema) ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 62 ถึงปัจจุบัน เชื่อว่าจบปี 65นี้ รายได้หลักจะมาจากป๊อปคอร์น 70% และตั๋วหนังอยู่ที่ 30%

ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 66 ไว้ที่ 10,000 ล้านบาท  ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงก่อนเกิดโควิดในปี 62 จากปีนี้ คาดว่ามีรายได้ 7,000 ล้านบาท เนื่องจากมีตารางหนังฟอร์มยักษ์ฝั่งฮอลลีวูดที่เตรียมเข้าฉายจำนวนมาก ทั้ง Sony Pictures, Walt Disney, Warner, Paramount และ Universal

รวมถึงการผลักดันหนังไทยเข้าฉายเฉลี่ยเดือนละ 2 เรื่อง ซึ่งจะทำให้รายได้จากการขายตั๋วหนังปรับตัวสูงขึ้น  

นอกจากนี้คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นสัดส่วน50% ของพอร์ต หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท จากปีนี้อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท หลังจากการขายหน้าโรงหนังกลับมาปกติ และการขายนอกโรงหนัง (Out Cinema) เข้ามาเสริม  เช่น Delivery, Kiosks & Event, Modern Trade และ Major Mall ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนาสินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น

ขณะที่การถือหุ้นบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ในสัดส่วน 10% ปัจจุบันได้ต่อยอดการจ้างผลิต (OEM) ป๊อปคอร์น และได้ประโยชน์จาก TKN เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทาง 7-Eleven และช่องทางจัดจำหน่ายในต่างประเทศ และช่วยสร้างการเติบโตในธุรกิจป๊อปคอร์น หากแบรนด์ติดตลาดมีโอกาสขยายไปยังร้านค้าทั่วไปด้วย

logoline