นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลัง การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันเกี่ยวกับนโยบายการหาเสียงเลือกตั้งพรรคการเมือง เรื่องการทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และ เงินเดือนจบปริญญาตรี 25,000 ว่า
การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในช่วงที่ผ่านมา มีความเหมาะสมแล้ว โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทย ที่มีแนวโน้มยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดมากนัก ประกอบกับการขั้นค่าแรงขั้นต่ำมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) โดยคำนึงถึงการครองชีพของลูกจ้าง รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ, ดัชนีค่าครองชีพ และ ราคาสินค้า ฯลฯ
ดังนั้นการพิจารณาปรับค่าแรง จึงต้องมองในทุกมิติ ทั้งในมุมของ นายจ้าง และลูกจ้าง รวมถึงการคำนึงถึงความสามารถในการจ่ายค่าจ้างของนายจ้าง ซึ่งมีผลต่อการจ้างงานโดยรวม จากกรณีขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันเมื่อปี 2554 ที่ถึงแม้ จะดำเนินการได้สำเร็จ แต่ต้องยอมรับว่า ช่วงแรกโดยเฉพาะ SME ปรับตัวค่อนข้างลำบาก ส่วนธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ บางราย ก็ปรับเป็นการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน
ขณะเดียวกันหากทยอยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน จากปัจจุบันที่ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่ 328 – 354 บาทต่อวัน ซึ่งถึงแม้ว่า จะเป็นการทยอยขึ้น ก็จะทำให้ต้นทุนภาคธุรกิจ ปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ทำให้ภาคธุรกิจอาจปรับตัวไม่ทัน
ประธานหอการค้าไทย กล่าวด้วยว่า ปีหน้า SME ยังคงมีปัญหาด้านรายได้ และสภาพคล่องในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก และมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งประเทศไทย ยังมีหลายธุรกิจที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้นทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และ ภาคบริการ ดังนั้นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจทำให้ SMEs หยุดหรือยกเลิกกิจการ เพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว
ส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ คงต้องมีการทบทวนแผนการจ้างงาน การชะลอการลงทุนในระยะสั้น หรือ แม้แต่การนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้แทนแรงงาน รวมถึงการลงทุนตรงจากต่างประเทศ ที่อาจชะลอลง เพราะ ต้นทุนค่าแรงของไทยสูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศคู่แข่ง ซึ่งส่วนนี้ จะกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
"หากมีการส่งสัญญาณผิดพลาด จะทำให้นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในไทย อาจจะต้องย้ายฐานการผลิตไปที่อื่น และการที่ไทยต้องการเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามาลงทุนก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก" นายสนั่น กล่าว
นายสนั่น ให้ความเห็นว่า แรงงานที่มีทักษะสูงในปัจจุบันต่างมีค่าจ้างที่สูง และมีความเหมาะสมอยู่แล้ว จึงควรมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะให้กับแรงงานที่ยังคงมีทักษะไม่สูงมากนัก และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันควบคู่ไป
นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงแรงงานที่ได้รับผลประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ เนื่องจากแรงงานปัจจุบันไทย อาศัยแรงงานต่างด้าวในภาคการผลิต และในอุตสาหกรรม เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความมุ่งหวังของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อแรงงานไทยมากเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม กกร.ยังเห็นว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามภาวะของสถานการณ์เศรษฐกิจ และขึ้นอย่างมีขั้นมีตอนยังคงมีความจำเป็นหากได้มีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน
นอกจากนี้เชื่อว่า การปรับค่าแรงในระดับที่เหมาะสมจะเป็นประโยชน์ต่อภาพเศรษฐกิจ การปรับขึ้นค่าจ้างควรมีความสอดคล้องกับการสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based economy) และการพัฒนาทักษะ (Up-skill and re-skill) ของลูกจ้าง
รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งต้องพิจารณาถึงความสมดุลของค่าจ้าง ทั้งในมุมของนายจ้าง และลูกจ้าง และควรอยู่บนพื้นฐานของทักษะ องค์ความรู้ และประสิทธิภาพของแรงงาน (Pay by Skill) รวมถึงการจูงใจให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน
นอกจากนี้ต้องคำนึงถึงความสามารถ ในการจ่ายค่าจ้างของนายจ้างซึ่งมีผลต่อการจ้างงานโดยรวม เพื่อให้การเติบโตของระบบเศรษฐกิจอยู่บนพื้นฐานที่มั่นคง ทั่วถึง และยั่งยืน เชื่อว่าการปรับค่าแรงในระดับที่เหมาะสมจะเป็นประโยชน์ต่อภาพเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน กกร. จะเสนอภาครัฐ ทบทวนการการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า เนื่องจาก มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กกพ. ได้มีการเปิดรับฟังความเห็นแนวทางการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของเดือนม.ค. - เม.ย. 66 ทั้ง 3 แนวทาง ตั้งแต่ 158 – 224 สตางค์/หน่วย (เพิ่มขึ้น 14-28%)
ซึ่งกรณีมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ในอัตราที่สูงมาก ถึง สองงวดติดต่อกัน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อภาระค่าครองชีพ ของประชาชน และต้นทุน ในการดำเนินธุรกิจทั้งภาคการผลิต และภาคบริการที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ
รวมทั้งเป็นการบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันประเทศ ดังนั้น กกร.จึงเสนอขอให้รัฐบาล พิจารณาชะลอการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของเดือน ม.ค.- เม.ย.66 ออกไปก่อน เพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชน และภาคธุรกิจ เนื่องจาก แนวโน้มราคาค่าเชื้อเพลิง และค่าซื้อไฟฟ้าในปี 66
ตามข้อมูลจาก กกพ. จะมีแนวโน้มชะลอตัว และลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 สอดคล้องกับการผลิตก๊าซจากอ่าวไทยที่จะสามารถกลับมาผลิตได้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน ก็จะทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตไฟฟ้าลดลงกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
นอกจากนี้แนวโน้มทิศทางดอกเบี้ย ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องไปแล้ว 1.25% ธนาคารพาณิชย์ได้ช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ "เอสเอ็มอี" ในเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อประคองลูกหนี้ให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ พร้อมทั้งมีงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ในแต่ละภาค
อย่างไรก็ตามในวันที่ 1 ม.ค. 66 จะปรับขึ้นค่าธรรมเนียม FIDF กลับมาสู่ระดับปกติ 0.46% จากเดิม 0.23% ทำให้ต้นทุนระบบธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น 4 หมื่นล้าน ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ปรับเพิ่มขึ้น 0.4-0.6%