svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

กกร.หวั่น"ขึ้นค่าแรง" 600 ทุบ"เอสเอ็มอี"เจ๊ง-นักลงทุนต่างชาติหนีกระเจิง

07 ธันวาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

“สนั่น” ชี้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท ดันต้นทุนพุ่ง 70%  ธุรกิจ "เอเอ็มอี" ปรับตัวไม่ทันอาจต้องเลิกกิจการ ลั่น! การส่งสัญญาณผิด จะทำให้นักลงทุนต่างชาติหนีกระเจิง ขณะที่เตรียมเสนอ ชะลอ ขึ้นค่าไฟลดภาระประชาชน และ ภาคธุรกิจ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลัง การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันเกี่ยวกับนโยบายการหาเสียงเลือกตั้งพรรคการเมือง เรื่องการทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และ เงินเดือนจบปริญญาตรี 25,000 ว่า 

การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในช่วงที่ผ่านมา มีความเหมาะสมแล้ว โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทย ที่มีแนวโน้มยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดมากนัก ประกอบกับการขั้นค่าแรงขั้นต่ำมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) โดยคำนึงถึงการครองชีพของลูกจ้าง รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ, ดัชนีค่าครองชีพ และ ราคาสินค้า ฯลฯ

ดังนั้นการพิจารณาปรับค่าแรง จึงต้องมองในทุกมิติ ทั้งในมุมของ นายจ้าง และลูกจ้าง ​รวมถึงการคำนึงถึงความสามารถในการจ่ายค่าจ้างของนายจ้าง ซึ่งมีผลต่อการจ้างงาน​โดยรวม จากกรณีขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันเมื่อปี 2554 ที่ถึงแม้ จะดำเนินการได้สำเร็จ แต่ต้องยอมรับว่า ช่วงแรกโดยเฉพาะ SME ปรับตัวค่อนข้างลำบาก ส่วนธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ บางราย ก็ปรับเป็นการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน

 

ขณะเดียวกันหากทยอยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน จากปัจจุบันที่ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่ 328 – 354 บาทต่อวัน ซึ่งถึงแม้ว่า จะเป็นการทยอยขึ้น ก็จะทำให้ต้นทุนภาคธุรกิจ ปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ทำให้ภาคธุรกิจอาจปรับตัวไม่ทัน

ประธานหอการค้าไทย กล่าวด้วยว่า ปีหน้า SME ยังคงมีปัญหาด้านรายได้ และสภาพคล่องในช่วงที่​เศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก และมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งประเทศไทย ยังมีหลายธุรกิจที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้นทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และ ภาคบริการ ดังนั้นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจทำให้ SMEs หยุดหรือยกเลิกกิจการ​ เพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว

ส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ คงต้องมีการทบทวนแผนการจ้างงาน การชะลอการลงทุนในระยะสั้น หรือ แม้แต่การนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้แทนแรงงาน รวมถึงการลงทุนตรงจากต่างประเทศ ที่อาจชะลอลง เพราะ ต้นทุนค่าแรงของไทยสูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศคู่แข่ง ซึ่งส่วนนี้ จะกระทบต่อขีดความสามารถในการ​แข่งขันของประเทศ

"หากมีการส่งสัญญาณผิดพลาด จะทำให้นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในไทย อาจจะต้องย้ายฐานการผลิตไปที่อื่น และการที่ไทยต้องการเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามาลงทุนก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก" นายสนั่น กล่าว  

นายสนั่น ให้ความเห็นว่า แรงงานที่มีทักษะสูงในปัจจุบันต่างมีค่าจ้างที่สูง และมีความ​เหมาะสมอยู่แล้ว จึงควรมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะให้กับแรงงานที่ยังคงมีทักษะไม่สูงมากนัก และ​เพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันควบคู่ไป

นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงแรงงานที่ได้รับผลประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ เนื่องจากแรงงานปัจจุบันไทย อาศัยแรงงานต่างด้าวในภาคการผลิต และในอุตสาหกรรม เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความมุ่งหวังของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อแรงงานไทยมากเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม กกร.ยังเห็นว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามภาวะของสถานการณ์​เศรษฐกิจ และขึ้นอย่างมีขั้นมีตอนยังคงมีความจำเป็นหากได้มีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบ​ด้าน

นอกจากนี้เชื่อว่า การปรับค่าแรงในระดับที่เหมาะสมจะเป็นประโยชน์ต่อภาพเศรษฐกิจ การปรับขึ้น​ค่าจ้างควรมีความสอดคล้องกับการสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based economy) ​และการพัฒนาทักษะ (Up-skill and re-skill) ของลูกจ้าง 

รวมถึงขีดความสามารถในการ​แข่งขันของประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งต้องพิจารณาถึงความสมดุลของค่าจ้าง ทั้งในมุม​ของนายจ้าง และลูกจ้าง และควรอยู่บนพื้นฐานของทักษะ องค์ความรู้ และประสิทธิภาพของ​แรงงาน (Pay by Skill) รวมถึงการจูงใจให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน

นอกจากนี้ต้อง​คำนึงถึงความสามารถ ในการจ่ายค่าจ้างของนายจ้างซึ่งมีผลต่อการจ้างงานโดยรวม เพื่อให้การ​เติบโตของระบบเศรษฐกิจอยู่บนพื้นฐานที่มั่นคง ทั่วถึง และยั่งยืน เชื่อว่าการปรับค่าแรงใน​ระดับที่เหมาะสมจะเป็นประโยชน์ต่อภาพเศรษฐกิจ 

ขณะเดียวกัน กกร. จะเสนอภาครัฐ ทบทวนการการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า เนื่องจาก มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กกพ. ได้มีการเปิดรับฟังความเห็นแนวทางการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของเดือนม.ค. - เม.ย. 66 ทั้ง 3 แนวทาง ตั้งแต่ 158 – 224 สตางค์/หน่วย (เพิ่มขึ้น 14-28%)

ซึ่งกรณีมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ในอัตราที่สูงมาก ถึง สองงวดติดต่อกัน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อภาระค่าครองชีพ ของประชาชน และต้นทุน ในการดำเนินธุรกิจทั้งภาคการผลิต และภาคบริการที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ

รวมทั้งเป็นการบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันประเทศ ดังนั้น กกร.จึงเสนอขอให้รัฐบาล พิจารณาชะลอการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของเดือน ม.ค.- เม.ย.66 ออกไปก่อน เพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชน และภาคธุรกิจ เนื่องจาก แนวโน้มราคาค่าเชื้อเพลิง และค่าซื้อไฟฟ้าในปี 66

ตามข้อมูลจาก กกพ. จะมีแนวโน้มชะลอตัว และลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 สอดคล้องกับการผลิตก๊าซจากอ่าวไทยที่จะสามารถกลับมาผลิตได้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน ก็จะทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตไฟฟ้าลดลงกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

​​นอกจากนี้แนวโน้มทิศทางดอกเบี้ย ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องไปแล้ว 1.25% ธนาคารพาณิชย์ได้ช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ "เอสเอ็มอี" ในเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อประคองลูกหนี้ให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้  พร้อมทั้งมีงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ในแต่ละภาค

อย่างไรก็ตามในวันที่ 1 ม.ค. 66 จะปรับขึ้นค่าธรรมเนียม FIDF กลับมาสู่ระดับปกติ 0.46% จากเดิม 0.23% ทำให้ต้นทุนระบบธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น 4 หมื่นล้าน ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ปรับเพิ่มขึ้น 0.4-0.6% 

logoline