
20 ธันวาคม 2568 จากสถานการณ์การสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่บ่ายวันที่ 7 ธันวาคม 2568 จนถึงวันนี้เข้าสู่วันที่ 13 แล้วนั้น
ล่าสุด กองทัพภาคที่ 2 สรุปรายงานสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ในหลายพื้นที่สำคัญ พบว่าบางจุดยังคงมีความตึงเครียดและเกิดการปะทะเป็นระยะ ขณะที่บางพื้นที่ไม่พบความเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญ
-จังหวัดอุบลราชธานี บริเวณช่องบก ไม่พบความเคลื่อนไหวที่สำคัญ ส่วนพื้นที่ช่องอานม้า ฝ่ายไทยได้สถาปนาความมั่นคงในพื้นที่เป้าหมายและตรึงกำลังตลอดแนววางกำลัง
-จังหวัดศรีสะเกษ พื้นที่ซำแต–โดนตรวล–ภูผี–สัตตะโสม–พนมประสิทธิโส–ช่องตาเฒ่า ตรวจพบการขนน้ำมันและน้ำเข้าไปเติมในพื้นที่ภูผี ขณะเดียวกันฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธปืนใหญ่ยิงใส่ฐานฝ่ายไทยหลายจุด ส่งผลให้บังเกอร์ได้รับความเสียหาย และมีกำลังพลบาดเจ็บ รวมถึงมีการใช้รถถังและยานเกราะยิงในช่วงค่ำ ฝ่ายไทยได้ยิงตอบโต้ด้วยปืนใหญ่ ทำให้ฝ่ายกัมพูชาต้องย้ายที่ตั้งยิงเพื่อปรับแนวการยิง
บริเวณ ผามออีแดง–ห้วยตามาเรีย ตรวจพบการลำเลียงกำลังพล อาวุธ และสัมภาระหลายครั้งตลอดทั้งวัน พบการใช้อากาศยานไร้คนขับ (UAV) และโดรนจำนวนมาก รวมถึงการปรากฏของรถถัง ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนใหญ่ยิงใส่ฐานฝ่ายไทยหลายจุด ฝ่ายไทยได้ยิงตอบโต้ด้วยปืนใหญ่และอาวุธสนับสนุนอื่นๆ ทำลายเป้าหมายรถและที่ตั้งยิงของฝ่ายตรงข้ามเป็นระยะๆ
พื้นที่ภูมะเขือ–ช่องโดนเอาว์–พลาญยาว–พลาญหินแปดก้อน พบการใช้งาน UAV และโดรน FPV หลายลำ มีการยิงอาวุธหนักตกในพื้นที่หลายครั้ง ฝ่ายไทยได้ตอบโต้จนสร้างความเสียหายต่อเป้าหมายทางทหารของฝ่ายกัมพูชา
-จังหวัดสุรินทร์ พื้นที่ช่องจอม–ช่องเปรอ–ช่องระยี และช่องกร่าง ไม่พบความเคลื่อนไหวที่สำคัญ พื้นที่คนา ฝ่ายไทยได้สถาปนาที่หมายและตรึงกำลังตลอดแนว
ส่วนพื้นที่ปราสาทตาควาย ฝ่ายตรงข้ามยิงอาวุธใส่ฝ่ายไทยและพยายามเสริมกำลัง ฝ่ายไทยยิงตอบโต้ด้วยอาวุธปืนใหญ่และครกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พื้นที่ตาเมือนธม มีกำลังพลฝ่ายไทยบาดเจ็บ 1 นายจากกระสุนปืนใหญ่ตกในพื้นที่ และได้นำส่งสายแพทย์แล้ว
-จังหวัดบุรีรัมย์ บริเวณช่องสายตะกู ไม่พบความเคลื่อนไหวที่สำคัญ
โดยภาพรวมสถานการณ์ เป็นหนึ่งในวันที่ฝ่ายกัมพูชาใช้งานโดรนและโดรน FPV หนาแน่นที่สุด ตรวจพบหลายสิบลำในช่วงบ่ายถึงค่ำ มีความพยายามเสริมกำลังและลำเลียงสัมภาระด้วยยานพาหนะหลากหลายประเภท การยิงอาวุธหนักเกิดขึ้นต่อเนื่องทั้งสองฝ่าย
โดยฝ่ายไทยสามารถยิงทำลายที่ตั้งยิงและยานพาหนะของฝ่ายตรงข้ามได้หลายครั้ง แม้มีกำลังพลฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บ แต่สถานการณ์ยังอยู่ในภาวะควบคุมได้ และมีการส่งต่อรักษาทางการแพทย์ ทั้งนี้ประเมินแนวโน้มว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังปรับปรุงที่มั่นและเตรียมการตั้งรับในพื้นที่สำคัญบางจุด
ขณะที่ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กองทัพบกขอประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชา ที่ใช้กำลังทางทหารและอาวุธโจมตีเข้ามาในพื้นที่ชุมชนและบ้านเรือนของประชาชนใกล้แนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่พลเรือนและมิใช่พื้นที่ทางทหาร การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดหลักการคุ้มครองพลเรือนตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและบรรทัดฐานสากลอย่างร้ายแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนไทยผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก
การใช้กำลังในลักษณะไม่เลือกเป้าหมายได้สร้างความสูญเสียและความเดือดร้อนอย่างกว้างขวาง ทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน ทำให้ประชาชนต้องดำรงชีวิตท่ามกลางความหวาดกลัวและความไม่มั่นคง จากการใช้กำลังที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านมนุษยธรรมและความปลอดภัยของพลเรือน
จากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดน ซึ่งยังคงมีความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง พบว่ามีประชาชนได้รับผลกระทบรวมประมาณ 400,000 ราย มีประชาชนเสียชีวิตรวม 23 ราย แบ่งเป็นผู้เสียชีวิตจากกรณีอาวุธจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ตกในพื้นที่บ้านเรือนของประชาชนโดยตรง 1 ราย และผู้เสียชีวิตจากผลกระทบทางอ้อมของเหตุการณ์อีกจำนวน 22 ราย นอกจากนี้ ยังมีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 6 ราย โดยผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทั้งหมด เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ
นอกจากนี้ การโจมตียังสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน โดยมีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายไม่น้อยกว่า 30 หลัง พื้นที่ทำการเกษตรในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้ตามปกติ
ด้านสาธารณสุขและการศึกษา พบว่าโรงพยาบาลได้รับผลกระทบ 20 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ได้รับผลกระทบ 201 แห่ง โดยเฉพาะโรงพยาบาลพนมดงรักที่ได้รับผลกระทบจากอาวุธจรวดหลายลำกล้องโดยตรง ขณะเดียวกัน สถานศึกษาหลายแห่งในพื้นที่ชายแดนต้องหยุดการเรียนการสอน ส่งผลให้เด็กและเยาวชนขาดโอกาสทางการศึกษาและต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความหวาดกลัว กระทบต่อคุณภาพชีวิตและความมั่นคงในระยะยาว
โฆษกกองทัพบก กล่าวย้ำว่า ประชาชนคนไทยไม่ควรตกเป็นเป้าหมายหรือได้รับผลกระทบจากการกระทำทางทหารในลักษณะดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ในทันที และปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด