svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าวสถานการณ์

ชายแดนยังเดือด "กัมพูชา" วิกฤติหนัก เสียขวัญ แนวหน้าขาดเสบียง-อาวุธ ผบ.หน่วย ดับที่ "ปราสาทตาควาย"

ชายแดนยังเดือด "กัมพูชา" วิกฤติหนัก เสียขวัญ แนวหน้าขาดเสบียง-อาวุธ ผบ.หน่วย ดับที่ "ปราสาทตาควาย" จนต้องปรับยุทธวิธี "ยิงแล้วย้ายจุด"

15 ธันวาคม 2568 ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานสถานการณ์สู้รบ ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. ถึงปัจจุบัน ใน 17 พื้นที่ ประกอบด้วย 

 

ชายแดนยังเดือด "กัมพูชา" วิกฤติหนัก เสียขวัญ แนวหน้าขาดเสบียง-อาวุธ ผบ.หน่วย ดับที่ "ปราสาทตาควาย"

 

พื้นที่ช่องบก สถานการณ์ตึงเครียดสูง มีการปะทะด้วยอาวุธหนักเป็นระยะ ทหารกัมพูชาพยายามรักษาที่มั่นบนเนินสำคัญ และเตรียมรับมือการถูกปิดล้อม โดยเร่งกักตุนเสบียงและกระสุนในแนวหน้า

สิ่งบอกเหตุชี้ชัดถึงความกังวลต่อการถูกตัดเส้นทางส่งกำลังบำรุง หนทางปฏิบัติหลักคือการตั้งรับในที่มั่นแข็งแรง เพื่อถ่วงเวลา และใช้การยิงสนับสนุน เมื่อฝ่ายไทยเข้าใกล้

 

 

ชายแดนยังเดือด "กัมพูชา" วิกฤติหนัก เสียขวัญ แนวหน้าขาดเสบียง-อาวุธ ผบ.หน่วย ดับที่ "ปราสาทตาควาย"

 

 

 

 

 

พื้นที่ช่องอานม้า เป็นจุดปะทะรุนแรงที่สุด แนวรับชั้นแรกถูกเจาะทำลายและสูญเสียอาวุธนำวิถี (GAM-102 LR) ทหารกัมพูชา ประสบวิกฤตด้านขวัญกำลังใจและเสบียง จึงตอบโต้ด้วยการระดมยิง BM-21 แบบปูพรมใส่พื้นที่ส่วนหลังของไทย เพื่อหยุดยั้งการรุก คาดว่าจะร่นถอยไปตั้งรับในแนวลาดด้านหลัง และใช้การยิงฉากป้องกันขั้นสุดท้ายเพื่อคุ้มครองฐานยิงปืนใหญ่

 

พื้นที่สัตตะโสม - โดนตรวล - ซำแต ทำหน้าที่เป็น "ฐานยิงและศูนย์กลางโดรน" พบการรวมศูนย์โดรนเพื่อชี้เป้าและสนับสนุนพื้นที่ข้างเคียง ทหารกัมพูชาใช้ยุทธวิธี "ยิงแล้วย้าย" ของฐานยิง BM-21 เพื่อหลบหลีกการยิงสวนกลับ โดยอาศัยภูมิประเทศป่าทึบในการซ่อนพราง

 

พื้นที่ห้วยตามาเรีย สถานการณ์วิกฤต ทหารกัมพูชามีคำสั่งทำลายพื้นที่สัญลักษณ์ และเสริมความแข็งแรงบังเกอร์ ทางยุทธวิธี เน้นการยิงรบกวนและทำลายสิ่งปลูกสร้าง โดยจะตรึงกำลังบริเวณวัดแก้วฯ และใช้อำนาจการยิงจากพื้นที่ต่ำกดดันพื้นที่สูงของไทย

 

พื้นที่ภูมะเขือ ทหารกัมพูชาเสียเปรียบทางยุทธวิธีอย่างหนัก จนไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้ จึงปรับแผนเป็น "การปฏิเสธพื้นที่" โดยใช้ BM-21 ยิงประณีตใส่ยอดเขาแบบต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าฝ่ายไทยจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดังกล่าวได้ แม้จะต้องถอนกำลังภาคพื้นดินออกไป

 

พื้นที่พลาญหินแปดก้อน ปรับเปลี่ยนรูปแบบการรบเป็นการใช้โดรน FPV (Kamikaze) และชุดล่าทำลายรถถัง ทดแทนกำลังพลที่ขาดแคลนกระสุน 12.7 มม. หนทางปฏิบัติคือการรบแบบกองโจร จัดชุดเล็กคล่องตัว ลักลอบโจมตีแนวหลังและยานเกราะของไทย

 

พื้นที่ช่องจอม - ช่องระยี - ปลดต่าง มีการเพิ่มเติมกำลังพลใหม่ประมาณ 300 นาย พร้อมมาตรการวินัยการสื่อสาร และพรางไฟที่เคร่งครัด บ่งชี้ถึงการเตรียมการตีโต้ตอบ หรือจัดเป็นกองหนุน ปัญหาพลังงาน-สื่อสาร ทำให้ต้องร้องขอแบตเตอรี่เพิ่ม พร้อมปล่อยข่าวลวงเรื่องการถอนตัวของไทย เพื่อรักษาขวัญทหาร

 

พื้นที่ช่องคนา ยานเกราะไทยสร้างแรงกดดันอย่างหนัก จนทหารกัมพูชาต้องร้องขอการยิงปืนใหญ่แบบใกล้ฝ่ายเดียวกัน เพื่อสกัดกั้น คาดว่าหากต้านทานไม่ได้จะถอนตัวไปยังภูมิประเทศที่ยากต่อการเข้าถึงของรถถัง

 

พื้นที่ตาควาย - เนิน 350 การรบประชิดรุนแรงจนเสีย ผบ.หน่วยทหารกัมพูชา ใช้ยุทธวิธี "ยอมแลก" โดยระดมยิง FPV และ BM-21 เข้าใส่พื้นที่สังหาร รวมถึงพื้นที่ตนเองหากจำเป็น เพื่อยื้อแย่งพื้นที่สัญลักษณ์และหยุดการเข้าตีของไทย

 

พื้นที่เนิน 225 ตกอยู่ภายใต้อำนาจการยิงและการครองอากาศของโดรนไทยโดยสมบูรณ์ ทหารกัมพูชาสั่งระงับความเคลื่อนไหวและเข้าที่กำบัง 100% เป้าหมายหลักคือการอยู่รอด  เพื่อรอจังหวะตอบโต้หรือเคลื่อนย้ายเมื่อการยิงปูพรมสิ้นสุดลง

 

พื้นที่ช่องกร่าง ปะทะด้วยรถถังอย่างต่อเนื่อง มีการลดจำนวนพลประจำรถเพื่อลดความสูญเสีย ใช้รถถังเป็นป้อมปืนเคลื่อนที่ในยุทธวิธีรบหน่วงเวลา อาศัยภูมิประเทศยิงแล้วถอย เพื่อรักษากำลังรบ

 

พื้นที่ตาเมือน ระบบควบคุมบังคับบัญชาของฝ่ายกัมพูชา ถูกฝ่ายไทยรบกวนและดักฟัง ทำให้เกิดความระแวงและต้องเปลี่ยนรหัสวิทยุบ่อยครั้ง รวมถึงปัญหาขาดแคลนพลังงาน จึงหันมาใช้พลนำสารและลดการใช้วิทยุ โดยหน่วยระดับล่างจะปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุอัตโนมัติเมื่อขาดการติดต่อ

 

พื้นที่สายตะกู ทหารกัมพูชาระวังป้องกันสูง โดยใช้โดรนลาดตระเวนหนาแน่น และวางกำลังรถถังซุ่มรอในภูมิประเทศที่ได้เปรียบ เพราะกังวลการเปิดแนวรุกใหม่ของไทย หนทางปฏิบัติคือการเตรียมพื้นที่สังหาร เพื่อทำลายฝ่ายไทย

 

สรุปการปฏิบัติต่อข้าศึกตั้งแต่ วันที่ 8 ธ.ค.-14 ธ.ค.68 ไทยได้ทำลายฐานปฏิบัติการทางทหาร คลังน้ำมัน/กระสุน และอื่นๆ บกควบคุม 11 ที่ , ฐานทหาร 14 ที่, อาคารที่พัก 5 ที่ , หลุมเครื่องยิงลูกระเบิด 6 หลุม , ฐานที่ตั้งปืนใหญ่ 2 ที่, คลังกระสุน 3 ที่ , คลังน้ำมัน 1 ที่ , ฐานที่ตั้งสแกมเมอร์/ฐานจุดปล่อยโดรนโจมตีทางทหาร 2 ที่ และ บังเกอร์ 10 ที่ รวม 54 ที่

ทำลาย รถถัง 12 คัน, โดรน 171 ลำ , BM-21 1 คัน , เสาแอนตี้โดรน 4 ต้น, ปตอ. 4 กระบอก , ระบบควบคุมแอนตี้โดรน 1 ชุด , รถบรรทุก 7 คัน , เสาสัญญาณ 1 ต้น, ปืนใหญ่ 1 กระบอก, ปืนครก 6 กระบอก และทหารกัมพูชาเสียชีวิต 205 ราย

 

กองทัพภาคที่ 2 ขอยืนยันว่า ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการปกป้องอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถ พร้อมขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข้อมูลจากทางราชการ และเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่อไป
 

 

ชายแดนยังเดือด "กัมพูชา" วิกฤติหนัก เสียขวัญ แนวหน้าขาดเสบียง-อาวุธ ผบ.หน่วย ดับที่ "ปราสาทตาควาย"