
รายงาน “ทหารกล้าพลีชีพ” เพิ่มจำนวนขึ้น ในสมรภูมิชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยจิตใจห่อเหี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา
แม้จะรู้ดีว่า ในทุกสงครามย่อมมีความสูญเสีย แต่ก็ไม่มีใครอยากให้ทหารของเราต้องกลายเป็นผู้สละชีวิต
คำถามที่ตามมาก็คือ การสู้รบรอบนี้ ดูเหมือนทหารไทยสูญเสียเยอะขึ้น จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บก็พุ่งสูง แม้จะเปิดการยิงปะทะกันแค่ 3 วัน
ทำให้มีการมองกันว่า กัมพูชาวางแผนมาดีขึ้นหรือไม่ และล็อกเป้าฐานที่ตั้งฝ่ายไทยได้แม่นยำกว่าเดิมหรือเปล่า เนื่องจากมีการปรับยุทธวิธี 2 อย่าง กล่าวคือ
- ใช้หน่วยจารกรรมเข้ามาหาข่าว ถ่ายภาพในพื้นที่จริง รวมถึงแฝงตัวเป็นแรงงานเข้ามาทำงาน
- ใช้โดรนบินถ่ายภาพ ทำแผนที่ ซึ่งเรียกว่า Mapping Drone เพื่อกำหนดพิกัด ทั้งจุดจอดเครื่องบินรบ ซึ่งเป็นยุทโธปกรณ์สำคัญที่ทำให้กัมพูชาเสียเปรียบไทยมาก รวมถึงการรวบรวมข้อมูลฐานที่ตั้งทางทหาร
ขณะที่ฝ่ายไทยโจมตี ยังไม่มีรายงานความสูญเสียเท่าใดนัก ด้านหนึ่งเป็นเพราะฝ่ายกัมพูชาปิดข่าว แต่อีกด้านหนึ่ง ก็มีนักวิชาการ อย่าง อาจารย์ดุลยภาค ปรีชารัชช ให้ข้อมูลว่า ฝ่ายกัมพูชาให้ทหารหลบตามชะง่อนผา เพราะฝ่ายตัวเองอยู่พื้นที่ต่ำกว่า เพื่อใช้ชะง่อนผาเป็นที่กำบัง เวลาถูกโจมตีทางอากาศ
แหล่งข่าวจาก “กองบัญชาการรบส่วนกลาง” วิเคราะห์ว่า เท่าที่ตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิต ยังสรุปไม่ได้ว่า ฝ่ายกัมพูชามีข้อมูลและความแม่นยำในการโจมตีมากขึ้น เนื่องจากสาเหตุการเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ส่วนใหญ่มาจากการยิงด้วยอาวุธยาว อาวุธวิถีโค้ง และปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง ซึ่งความเป็นไปได้ มีทั้งข้อมูลการข่าวแม่นยำขึ้น หรืออาจเป็นการยิงตอบโต้เพราะทราบความเคลื่อนไหวฝั่งไทย คือเป็นการยิงตอบโต้ปกติ ทำให้ฝ่ายเราสูญเสีย ก็เป็นได้ จึงยังสรุปไม่ได้ว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่มีใครอยากให้เกิดคาวมสูญเสียขึ้น
รบช่วงที่ 2 โจมตีจุดแข็ง บทพิสูจน์ใครแกร่งกว่ากัน
แหล่งข่าวจากอดีตผู้นำหน่วยความมั่นคงระดับประเทศ ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้สถานการณ์ไทย-กัมพูชา เข้าสู่ “ช่วงที่ 2 ของสงคราม” คือ การต้องใช้กำลังทหารราบเข้ายึดคืนพื้นที่ของฝ่ายเรา และยึด/ทำลายเป้าหมายที่ตั้งทางทหารที่เข้มแข็งของฝ่ายกัมพูชา
เช่น พื้นที่ปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นเป็นเนินและจุดสูงข่ม ฝ่ายกัมพูชาสร้างป้อมปราการเอาไว้แข็งแรง
การรุกของทหารราบจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากอาวุธระยะไกล ดังนั้นจึงต้องทำงานประสานสอดคล้อง และพลาดไม่ได้
เมื่อการรบเข้าสู่ “ช่วงที่ 2” จึงมีความเสี่ยงมากขึ้น เพราะเป้าหมายที่ฝ่ายเราจะยึด หรือต้องรักษาเอาไว้ ก็เป็นเป้าหมายที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการยึดและรักษาเอาไว้เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อชิงความได้เปรียบ และการที่ไทยเป็นฝ่ายรุก จะมีความเสี่ยงสูงกว่าเป็นฝ่ายรับ
เปิด 2 ระบบ “โดรนสังหาร” กัมพูชาโจมตีทหารไทย
ส่วนประเด็นของ “โดรนสังหาร” ที่มีข่าวว่าฝ่ายกัมพูชาใช้โจมตีทหารไทย
แหล่งข่าวใน “กองบัญชาการรบส่วนกลาง” ให้ข้อมูลว่า เท่าที่ตรวจสอบพบ กัมพูชามีใช้ทั้งโดรนทิ้งระเบิด และ “กามิกาเซ่ โดรน” หรือ โดรนพุ่งชน
โดยในส่วนของโดรนทิ้งระเบิด ทำให้เกิดความสูญเสียของกำลังพลที่ศรีสะเกษ คือ สิบเอก ชวกร เดชขุนทด สังกัดกองพันทหารม้าที่ 11 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์
ส่วน “กามิกาเซ่ โดรน” มีรายงานว่ากัมพูชาใช้โจมตี แต่ถูกแจมตก ไม่สามารถทำอันตรายฝั่งไทยได้
ขณะที่ อดีตหัวหน้าหน่วยความมั่นคงระดับประเทศ เตือนว่า มีข้อมูลการข่าวมาระยะหนึ่งแล้วว่า กัมพูชามีการพัฒนา “กองทัพโดรน” และเรียนรู้การทำสงครามด้วยโดรน รวมทั้งมีโดรนหลากหลายรูปแบบ ทั้งโดรนหาข่าว และโดรนโจมตี และช่วงแรกๆ ฝ่ายเราใช้ “แอนตี้ โดรน” แจมโดรนกัมพูชาไม่ได้ เข้าใจว่าเพราะเป็นโครนคนละระบบกัน ของไทยใช้โดรนตะวันตก ส่วนกัมพูชาใช้โดรนจากจีน
ในภาพรวมถือว่ากัมพูชามีความพร้อมมากขึ้น และมีความหลากหลายในการโจมตีมากขึ้น แต่ฝ่ายไทยก็ยังตั้งรับและรุกกลับได้ดีพอสมควร