
14 พฤศจิกายน 2568 นายไชยรัตน์ ปาวะกะนันท์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผย กรณีเจ้าหน้าที่ชุด บก.สส.บช.น. บุกควบคุมตัว นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ในโรงแรมชื่อดัง ย่านเพลินจิต กรุงเทพมหานคร หลังถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับในฐานความผิดร่วมกันเป็นอั้งยี่ซ่องโจร และร่วมกันเรียกค่าไถ่และข่มขืนใจผู้อื่น กรณีถูกกล่าวหาว่ามีการอุ้มเรียกค่าไถ่ชาวไต้หวัน ว่า
คดีนี้เหตุเกิดวันที่ 28 มี.ค.2564 มีผู้ต้องหา 25 คน อัยการสั่งฟ้องและเห็นควรสั่งฟ้อง (ผู้ต้องหาที่ไม่มีตัวหรือหลบหนี) ข้อหาร่วมกันอั้งยี่ ซ่องโจร ,ร่วมกันเรียกค่าไถ่ ,ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการ ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือผู้อื่นหรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ ร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป โดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ ,ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว หรือกักขัง ผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ,ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดย ไตร่ตรองไว้ก่อน ,ร่วมกันมีอาวุธไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
ส่วนที่ถามว่าทำไม 4 ปี คดีถึงเพิ่งมีการพิจารณาสั่งคดี นายไชยรัตน์ ระบุว่า ก่อนหน้านี้มีการพิจารณาส่งสำนวนคดีไปให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่า เป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือไม่ และเมื่อความเห็นของอัยการสูงสุดลงมาว่าไม่ใช่คดีนอกราชอาณาจักร จึงให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามปกติ
โดยตำรวจส่งสำนวนครั้งแรก ผู้ต้องหามาไม่ครบ มีคนหลบหนี โดยนายสันธนะ เดินทางมาพบพนักงานอัยการในรอบแรก และยื่นประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน
เบื้องต้น พนักงานอัยการได้ส่งตัวผู้ต้องหาที่ 7,10-14, 15-18 ไปฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 548/68/68 คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน
พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนกลับมาที่สำนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้อีกครั้ง เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2568 โดยไม่มีการควบคุมตัว นายสันธนะ
ต่อมาพนักงานอัยการได้มีหนังสือแจ้งให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาที่เหลือ (รวมถึงนายสันธนะ ผู้ต้องหาที่19) มาส่งตัวให้พนักงานอัยการนำไปฟ้องต่อศาล โดยให้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมในความผิดฐาน ร่วมกันเรียกค่าไถ่ ,ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดย ไม่ได้รับใบอนุญาต
ทั้งนี้ นายสันธนะ เคยมาพบพนักงานอัยการ โดยมาแจ้งว่าได้ไปพบพนักงานสอบสวนแล้ว และได้นำบันทึกประจำวันคดีมาแสดงว่าได้มาพบพนักงานสอบสวน และจะนัดมาเพื่อพบพนักงานอัยการอีกครั้ง โดยไม่เคยยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมตามระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด และตามกฎหมายพนักงานอัยการก็ไม่มีอำนาจจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ และเรายังไม่สามารถนำตัวไปฟ้องในวันนั้นได้ เนื่องจากพนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมตามที่อัยการสั่งไป
ส่วนที่มีการออกหมายจับ เนื่องจากภายหลังพนักงานสอบสวนได้มีหนังสือเรียกให้มาพบเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา และนำตัวมาส่งให้อัยการ 2 ครั้งติดกัน แต่ไม่มา พนักงานสอบสวนเลยไปขอออกหมายจับเพื่อนำตัวมาส่งให้พนักงานอัยการนำตัวมาฟ้องศาล