svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

จัดกลุ่มนารีพิฆาต เมื่อพระพลาด “สีกาล่าเจ้าคุณ” เขย่าวงการสงฆ์

จัดกลุ่ม “นารีพิฆาต” เมื่อพระพลาด “สีกาล่าเจ้าคุณ” จนเขย่าวงการสงฆ์ อะไรคือปัจจัย-ช่องโหว่ ทำให้เกิดข่าวฉาวในแวดวงขมิ้น แนวทางการแก้ปัญหาต้องทำสิ่งใดบ้าง

12 กรกฎาคม 2568 ฟังกระแสสังคมขณะนี้ ต้องยอมรับว่า เหตุการณ์สะเทือนวงการสงฆ์ มีพระชั้นผู้ใหญ่มากกว่า 10 รูป เกี่ยวข้องพัวพันกับ “สีกากอล์ฟ” จนถูกจับสึกกันระนาว บางก็หนีหาย ไปแอบลาสิกขา ไม่กลับวัดกลับวา ไม่แม้กระทั่งกลับไปเก็บของ

กระแสเสียงของสังคมเอนเอียงไปในทาง “เห็นใจพระ” อยู่ไม่น้อย เพราะปฏิบัติการของ “สีกากอล์ฟ” เข้าข่ายเป็นขบวนการ “นารีพิฆาต” จริงๆ  สมกับที่ “ข่าวข้นคนข่าว” พาดหัวไว้ตั้งแต่วันแรกๆ ว่า “สีกาล่าเจ้าคุณ”

จัดกลุ่มนารีพิฆาต เมื่อพระพลาด “สีกาล่าเจ้าคุณ” เขย่าวงการสงฆ์

อาจารย์อำนาจ ยอดทอง นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา​ จากมหาวิทยาลัยมหิดล จำแนก “นารีพิฆาต” เอาไว้ว่ามี 3 ประเภทด้วยกัน

-ประเภทแรก คือ หวังผลประโยชน์ ต้องการทรัพย์สินเงินทอง

-ประเภทที่สอง คือ ต้องการล้มผู้นำทางศาสนาในระดับต่างๆ หรือพระผู้ปกครอง อาจเป็นเพราะมีความขัดแย้งกันเองระหว่างพระด้วยกัน เช่น แย่งตำแหน่งเจ้าอาวาส หรืดขัดแย้งกับชุมชน แล้วโดนใช้แผน “นารีพิฆาต” เพื่อจัดการอีกฝ่าย

-ประเภทที่สาม คือ ผูกพันรักใคร่กับพระ ชอบพอกันจริงๆ กลุ่มนี้มักจบด้วยลาสิกขามาแต่งงานอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาทั่วไป มีให้เห็นหลายเคส เช่น พระมิตซึโอะ ที่โด่งดังในอดีต

สำหรับ “นารีพิฆาต” 2 ประเภทแรก บางคน บางกลุ่ม ทำกันเป็นอาชีพ อย่างเช่นกลุ่ม “สีกากอล์ฟ” ที่ถูกกล่าวหาอยู่ในขณะนี้ หากข้อกล่าวหาและคลิปทั้งหมดถูกพิสูจน์ว่า เป็นความจริง และเกี่ยวโยงกับเรื่องทรัพย์สิน ซึ่งเป็นทรัพย์ของวัด ก็จะเข้าข่าย “นารีพิฆาต” ประเภทแรก และอาจเป็น “นารีพิฆาต” ประเภทที่ 2 ไปด้วยในบางกรณี
 

“เสพเมถุน”บานปลาย เพราะกฎหมายเอื้อมไม่ถึง
 

เรื่องอื้อฉาวในแวดวงผ้าเหลืองรอบนี้ สิ่งที่รับรู้ตรงกัน และเป็นข้อยุติแล้วก็คือ มีการเสพเมถุน เข้าข่ายปาราชิก ของพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูป ข้อเท็จจริงนี้ เกือบจะไม่มีข้อโต้แย้ง มีเพียงพระบางรูปเท่านั้นที่ท้าพิสูจน์

เรื่องอื้อฉาวในมุมนี้ มีความพยายามเสนอให้มีกฎหมายเอาผิดทั้งพระและสีกาที่เสพเมถุน หรือกระทำผิดทางเพศ เนื่องจากปัจจุบันไม่มีความผิดตามกฎหมาย มีแต่ผิดพระธรรมวินัย เมื่อลาสิกขาไปแล้วก็จบกันไป รอสักพักเรื่องก็เงียบหาย หลายคนกลับมาบวชใหม่ ทำผิดซ้ำเดิม แต่รัดกุมกว่าเดิม

จัดกลุ่มนารีพิฆาต เมื่อพระพลาด “สีกาล่าเจ้าคุณ” เขย่าวงการสงฆ์
 

“ยักยอก - ลักทรัพย์” 2 ข้อหาดับแก๊งพระ-สีกาฉาว?
 

อีกเรื่องหนึ่งที่กำลังจับตา และรอการตรวจสอบอย่างใจจดใจจ่อ ก็คือ มีการผ่องถ่ายทรัพย์สินของวัดไปประเคนให้ “สีกา” บ้างหรือไม่ หลายคนเชื่อว่า “มี” และกำลังรอตำรวจตรวจสอบเส้นทางเงิน

จะว่าไปเรื่องนี้ช่องโหว่ทางกฎหมาย ซึ่งเป็นปัญหามาจากความหละหลวมในการจัดการเงินวัด และการทำบัญชีรับจ่าย ตลอดจนการบริหารจัดการภายในวัดที่มีลักษณะ “เอื้อต่อการทุจริต”

จัดกลุ่มนารีพิฆาต เมื่อพระพลาด “สีกาล่าเจ้าคุณ” เขย่าวงการสงฆ์

ก่อนอื่นเราไปดูข้อกฎหมายกันก่อน โดยตั้งสมมติฐานว่า มีการผ่องถ่ายทรัพย์สินของวัดออกไปประเคนให้สีกา / แยกฐานความผิดได้ดังนี้

1.หากพระรูปนั้น มีหน้าที่ดูแล รักษาทรัพย์ของวัด เช่น เป็นเจ้าอาวาส เป็นพระเลขาฯ

เป็นความผิดฐาน ยักยอกทรัพย์ หรือ เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์

ส่วนสีกา หากรู้เห็นด้วย จะเป็นตัวการร่วม แต่ถ้าไม่ได้รู้เห็น จะผิด”รับของโจร”

2.หากพระรูปนั้น ไม่ได้มีหน้าที่จัดการ ดูแล หรือรักษาทรัพย์ของวัด เช่น เป็นพระลูกวัดเฉยๆ

เป็นความผิดฐาน ลักทรัพย์

ส่วนสีกา หากรู้เห็นด้วยในขั้นตอนการผ่องถ่าย จ่ายโอนทรัพย์ของวัดออกไป ก็จะผิดฐานเป็นตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุน แต่ถ้าไม่รู้เห็น ก็จะผิดฐาน “รับของโจร”

จัดกลุ่มนารีพิฆาต เมื่อพระพลาด “สีกาล่าเจ้าคุณ” เขย่าวงการสงฆ์

ช่องโหว่ “ทรัพย์ของพระ” วัดไม่เกี่ยว!
 

ทั้งหมดนี้คือทรัพย์ที่พิสูจน์ได้ว่าเป็น “ทรัพย์ของวัด” แต่ปัญหาคือ ทรัพย์บางส่วน เป็นทรัพย์ส่วนตัวของพระ และทรัพย์บางส่วน เป็นของวัดก็จริง แต่ไม่มีหลักฐานว่าเป็นของวัด เพราะไม่ได้ถูกนำเข้าระบบบัญชีที่เป็นทางการ หรือไม่ได้มีการบริหารจัดการที่เหมาะสม สาเหตุเกิดจาก

1.ความละเลย หละหลวม ไม่ใส่ใจ เพราะมีวัดเพียงไม่ถึง 30% ที่มีการทำบัญชีรับ-จ่ายเงินวัด ตามคำสั่งมหาเถรสมาคม

2.พระไม่มีความรู้ทางบัญชี จึงทำบัญชีรับ-จ่ายไม่รัดกุม

3.พระใช้คนใกล้ชิด เช่น ญาติ ลูกหลาน มาเป็นไวยาวัจกร (กฎหมายให้อำนาจเจ้าอาวาสตั้งใครก็ได้) ทำให้เปิดช่อง เปิดโอกาสร่วมกันหาประโยชน์

4.วัดไม่มีระบบตรวจสอบ ทำให้พระที่มีอำนาจปกครอง มีอำนาจในการบริหารจัดการเงินไปพร้อมกันด้วย (มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดภายในวัด) หากไม่นำเงินหรือทรัพย์สินเข้าระบบบัญชีรับ-จ่าย ก็จะไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่าเป็นทรัพย์ของวัดหรือไม่

5.ประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 1623 และ 1624 เปิดช่องให้พระครอบครองทรัพย์สินได้ (กฎหมายไม่ได้ผิด แต่ทำให้เกิดช่องโหว่) สรุปให้เข้าใจง่ายๆ แบบไม่ใช้ภาษากฎหมายก็คือ

- กรณีทรัพย์สินที่พระได้มาระหว่างบวช เช่น มีญาติโยมศรัทธาถวายเงินทองให้ / กฎหมายให้ถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพระ (ญาติโยมแสดงเจตนาชัดเจนว่าไม่ได้ถวายให้วัด)

- พระจะจำหน่ายจ่ายโอนไปให้ใครก็ได้ ไม่ผิด (ให้สีกา ให้ลูก ให้พ่อแม่ หรือให้ใครยืม ฯลฯ)

- หากพระรูปนั้นมรณภาพ แล้วไม่ได้ทำพินัยกรรมเอาไว้ ทรัพย์ทั้งหมดให้ตกเป็นสมบัติของวัด เว้นแต่พระจะได้ทำพินัยกรรมไว้ก่อนมรณภาพ ก็จะไม่ตกเป็นของวัด
จัดกลุ่มนารีพิฆาต เมื่อพระพลาด “สีกาล่าเจ้าคุณ” เขย่าวงการสงฆ์
 

“ปัจจัยคือเครื่องบาดใจ” สุขสบายในผ้าเหลือง
 

ทั้ง 5 ข้อ คือ ช่องโหว่ช่องใหญ่ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่เรียกว่า “สะสม” เพราะ “ปัจจัยคือเครื่องบาดใจ” กล่าวคือ

- ตอนบวชอาจไม่ได้คิดอะไร บางคนบวชตั้งแต่เด็ก แต่บวชแล้วครอบครองทรัพย์ได้ ได้เงินมาง่าย ใช้จ่ายไม่ถูกตรวจสอบ อยู่แบบสบายๆ กินฟรีอยู่ฟรี (จะฉัน หรือ กิน ก็มีญาติโยมมาถวาย / อยู่วัดก็ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟ / เดินทางไปไหนก็มีญาติโยมรับส่ง) ทำให้เงินทองเหลือเฟือ มีแต่รายรับ ไม่มีรายจ่าย 

- ยิ่งอยู่นานยิ่งมีทรัพย์สินมาก เพราะมีรายรับเข้าทุกวัน ไปสวดงานศพ งานบวช งานแต่ง ก็มีญาติโยมใส่ซอง (ปัจจุบันงานเล็ก น้อยที่สุด ก็ 200-500 บาท งานใหญ่ๆ เจ้าภาพรวยๆ ก็ใส่ซอง 1,000 บาท) / หากยกระดับเป็นพระนักเทศน์ เวลาไปเทศน์ ก็มีญาติโยมถวาย และมีเงินติดกัณฑ์เทศน์ / หากยกระดับเป็นพระผู้ใหญ่ มีสมณศักดิ์ เวลามีกิจนิมนต์ ญาติโยมต้องถวายเยอะขึ้นตามสมณศักดิ์ (หลักหลายพัน ถึงหลักหมื่น) และส่วนใหญ่ถวายให้ที่ตัวพระ ไม่ใช่ถวายวัด

- ไปดูกุฏิพระที่บวชนานๆ ไม่ใช่ “บวชก่อนเบียด” หรือ “บวชเพื่อรอเบียด” (บวชเพื่อไปแต่งงาน) มักจะมีเครื่องใช้ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ติดแอร์คอนดิชั่น มีทีวีจอยักษ์ ตู้เย็นขนาดใหญ่ และคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต โทรศัพท์ ครบครัน บางกุฏิปูพรม มีตู้โชว์ เก็บของสะสม บ้างก็เลี้ยงสัตว์หายาก สัตว์ราคาแพง (อาจจะเอาไว้ฝึกทำบุญ ให้ทาน)

- หากมีสมณศักดิ์ หรือเป็นพระดัง มีกิจนิมนต์บ่อย ก็จะมีญาติโยมถวายรถยนต์ให้ใช้ บางทีก็ถวายคนขับมารับใช้ด้วย / พระบางรูปก็ซื้อรถเอง บางรูปใช้เงินวัดซื้อ แต่นำไปใช้ในกิจส่วนตัว ไม่ใช่กิจของสงฆ์ หรือกิจของวัด 

- เมื่อมีรถ มีคนขับรู้ใจ บางทีก็ใช้ญาติมาขับ มาดูแล จึงก็ไปเที่ยวกลางคืนได้ ไปเดินสายพบปะใครต่อใครทีละหลายๆ วันได้

- สังคมพระ เป็นสังคมสันโดษ ไม่ยุ่งกัน ถือหลัก “โลกวัชชะ” ใครทำผิด โลกจะติฉินนินทา หากทำผิดวินัยสงฆ์ ก็ ”ปลงอาบัติ” กันไป / ฉะนั้นจึงกลายเป็นช่องทางให้พระหัวใส อาศัยช่องลอดทำความผิดต่างๆ ได้ง่ายดาย เงินทองได้มาง่าย ก็ใช่จ่ายสุรุ่ยสุร่าย หรือสะสมไว้มากมาย รอวันสละสมณเพศ

จะเห็นได้ว่า พระเซเลบบางรูป เมื่อสึกออกมา ก็ร่ำรวยมหาศาล โดยที่ทรัพย์สินเหล่านั้นไม่ใช่ของวัดแต่อย่างใด

การแก้ปัญหานี้ จึงต้องยกเครื่องทั้งระบบ ไม่ใช่แก้แค่กฎหมาย และแก้ที่จิตสำนึกเท่านั้น แต่ยังต้องสร้างกลไกหรือระบบป้องกันไม่ให้มีช่องโหว่ในการกระทำความผิดด้วย