
3 กรกฎาคม 2568 ช่วงก่อนเที่ยง เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ จะเปิดปฏิบัติการตรวจค้น 4 จุด ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลที่เปิด “บัญชีม้า” เชื่อมโยงกับการรีดหัวคิวต่อใบอนุญาตแรงงานต่างด้าวแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นระบบใหม่ที่กระทรวงแรงงานริเริ่มขึ้น และกำลังเจรจาเพื่อใช้กับแรงงานต่างด้าว 4 ประเทศ คือ เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
อย่างไรก็ดี ในทางการสืบสวนของดีเอสไอทราบว่า ที่ผ่านมามีเพียงกัมพูชาประเทศเดียวที่บรรลุข้อตกลงแล้ว และเริ่มกระบวนการต่อใบอนุญาตแบบออนไลน์แล้ว
ต่อมา ดีเอสไอได้รับการร้องเรียนจากบริษัทจัดหางาน และผู้ประกอบการซึ่งมีแรงงานต่างด้าว เมื่อต้องการต่อทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ครบอายุใบอนุญาต ซึ่งสามารถกรอกข้อมูลทางออนไลน์ได้ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถคลิกให้ได้รับการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป คือ ตรวจโรค ตรวจคุณสมบัติ ยืนยันตัวตน ก่อนได้รับใบอนุญาตทำงานต่อไป
เมื่อระบบติดขัด ก็จะมีนายหน้าติดต่อเข้ามา และเรียกค่าหัวคิว อ้างว่าเป็นค่าดำเนินการให้กับแรงงานต่างด้าว หัวละ 2,500 บาท เมื่อบริษัทจัดหางาน หรือผู้ประกอบการยอมจ่าย ก็จะสามารถดำเนินการต่อในระบบออนไลน์ และได้รับใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวรายนั้นๆ ได้ ตามกระบวนการปกติต่อไป
หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียน ดีเอสไอได้สืบสวนในทางลับ และพบขบวนการรีดหัวคิวแรงงานจริง โดยมีการใช้ “บัญชีม้า” ซึ่งตรวจพบแล้วขณะนี้ 4 บัญชี รับโอนเงิน และมีคนเบิกเป็นเงินสดออกไป จึงนำมาสู่ปฏิบัติการตรวจค้นในวันนี้
จากการสืบสวนของดีเอสไอ ยังพบเส้นทางเงินค่าหัวคิว ถูกส่งไปยังบุคคลกลุ่มต่างๆ ในกัมพูชา มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และบุคคลที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ในลักษณะแบ่งปันผลประโยชน์กับฝ่ายไทย ดีเอสไอพบเส้นทางเงินข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา และมีบางส่วนถูกเบิกออกมาเป็นเงินสด จัดสรรกันในกลุ่มผู้เกี่ยวข้องในฝั่งไทยด้วย เบื้องต้นพบว่ามีมูลค่าความเสียหายราวๆ 450 ล้านบาท จากการรีดหัวคิวแรงงานกัมพูชา 180,000 คน จากยอดทั้งหมดที่ต้องต่อใบอนุญาตในช่วงปี 2568 จำนวนกว่า 2 แสนคน
แหล่งข่าวจากดีเอสไอ เผยว่า หากมีการต่อใบอนุญาตแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาครบทั้งหมด จะมีเม็ดเงินหัวคิวสูงถึง 600 ล้านบาท และหากกระบวนการนี้ทำสำเร็จครบทั้ง 4 ประเทศ จะมีผลประโยชน์เป็นเงินนอกระบบปีละหลายพันล้านบาท ซึ่งทางดีเอสไอ กำลังเร่งตรวจสอบว่า ขบวนการนี้เชื่อมโยงถึงบุคคลฝ่ายการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ระดับใดในกระทรวงแรงงานด้วยหรือไม่
โดยการพบเส้นเงินเชื่อมโยงถึงบิ๊กกัมพูชา โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ไทยกับกัมพูชามีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนอยู่ในขณะนี้ ถือเป็นประเด็นอ่อนไหว จึงต้องเก็บรวบรวมพยานหลักฐานอย่างรอบคอบ รัดกุม เพื่อเปิดโปงขบวนการที่อาจเข้าข่าย “ขายชาติ” รูปแบบหนึ่ง ต่อไป