15 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี ลงพื้นที่จังหวัดเมียวดีเข้าพบ พันโทหน่ายหม่องโซ โฆษกกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) เพื่อติดตามการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเมื่อวานนี้ (14 มีนาคม 2568) ครบ 1 เดือน ที่ทางคณะกรรมการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้เข้ามาจัดการแก้ไขปัญหานี้
พันโทหน่าย หม่อง โซ โฆษกกองกำลังพิทักษ์ชายแดน กล่าวว่า ตัวเลข ณ วันที่ 14 มีนาคม 2568 ได้ให้การช่วยเหลือชาวต่างประเทศ 30ประเทศ ทั้งสิ้น7,968คน เป็นชาย7,143คน หญิง550คน
จากการคัดกรองและสอบสวนพบว่า ร้อยละ98 ตั้งใจมาทำงานไม่ได้ถูกหลอก โดยถือวีซ่าไทย ส่วนใหญ่ใช้วิธีลักลอบเข้าทางเส้นทางธรรมชาติ และชาวต่างชาติที่ถูกควบคุมเป็นชาวจีนมากที่สุด รองมาเป็นชาวเวียดนาม และชาวอินโดนีเซีย แม้ว่าจะมีการส่งกลับชาวต่างชาติ ทั้งจีน, อินเดีย, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย กลับประเทศแล้ว แต่ก็ยังมีชาวต่างชาติตกค้างอีกกว่า3,000คน โดยในเร็วๆนี้ จะมีการส่งมอบชาวจีน 6 คน ที่เป็นหัวหน้าแก็งคอลเซ็นเตอร์ให้กับทางการจีน และชาวญี่ปุ่น ที่ได้ควบคุมไว้อีก1คน ให้กับทางรัฐบาลญี่ปุ่นด้วย
โฆษกกองกำลังพิทักษ์ชายแดน กล่าวอีกว่า ตลอด1เดือน ได้ใช้งบประมาณในการดูแลชาวต่างชาติที่ควบคุมตัวไว้จำนวนกว่า70ล้านบาท เป็นค่าอาหาร ค่าสร้างที่พักอาศัย สร้างห้องน้ำ และค่าซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากจังหวัดชั้นในของเมียนมา มาใช้ในการปั่นไฟฟ้า
"เนชั่นทีวี" ได้สอบถามว่า ใช้งบประมาณจากไหน ทางโฆษกกองกำลังพิทักษ์ชายแดนตอบว่า "เราใช้งบประมาณของทหารที่ดูแลกำลังพลกว่า10,000นาย มาบริหารจัดการในส่วนนี้ก่อน แต่หากว่ามีระยะที่ยาวนานกว่านี้อาจจะดูแลไม่ไหว ก็ต้องมีการผลักดันกลับประเทศ โดยย้ำว่า "มาทางไหนต้องกลับทางนั้น" ซึ่งทางรัฐบาลเมียนมามีกฎหมายเอาผิดคนที่ลักลอบเข้าเมือง แต่ในกรณีนี้มีนโยบายให้ผลักดันกลับประเทศเท้านั้น"
ดังนั้น ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลชาวต่างชาติที่ตกค้างอยู่ จึงอยากวิงวอนให้สถานทูตของประเทศต่างๆ เร่งดำเนินการมารับพลเมืองกลับประเทศโดยเร็วที่สุด ซึ่งทางเรามีความพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในทุกๆด้าน
ทั้งนี้ หากถามว่า1เดือนที่ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างหนัก ได้ผลอย่างไร ทางกองกำลังพิทักษ์ชายแดน ยืนยันว่า ตอนนี้ปราบปรามได้ผลที่น่าพอใจ และพบว่าแทบจะทั้งหมด ต่างสมัครใจมาทำงานเอง มีเพียงส่วนน้อยที่ถูกหลอกลวงมา และเท่าที่ดูจากการส่งกลับประเทศ บุคคลเหล่านี้กลับแสดงว่า ตกเป็นเหยื่อ
พร้อมกันนี้ เนชั่นทีวีได้ลงพื้นที่ไปยังจุดควบคุมชาวต่างขาติที่โรงแรมAung Zabu Linn พบว่า ทั้งหมดอาศัยรวมตัวกันอยู่ใต้อาคารชั้นเดียวอย่างแออัด มีเจ้าหน้าที่ทหารบีจีเอฟควบคุมทางเข้าออก นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการตั้งโรงครัวไว้ปรุงอาหารวันละ3มื้อ และช่วงนี้จะต้องมีช่วงเวลาพิเศษในการปรุงอาหารให้กับผู้ถือศีลอดในช่วงรอมฎอนด้วย ซึ่งเฉลี่ยแต่ละคนจะมีค่าใช้จ่ายอาหาร200บาทต่อคน
และปัญหาที่ทางโฆษกกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หนักใจมากที่สุด คือ ความปลอดภัยของชาวต่างประเทศ เนื่องจากหลายคนมีความเครียดที่ถูกควบคุมตัว บางครั้งจะมีการทะเลาะวิวาทกัน ทำให้ต้องเพิ่มมาตรการความปลอดภัย โดยตอนนี้ในช่วงแจกอาหารจะงดแจกตะเกียบ ช้อน ส้อม ให้กับชาวต่างชาติเหล่านี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้เป็นอาวุธ และมีความปลอดภัยในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวไว้
อย่างไรก็ตาม กองกำลังพิทักษ์ชายแดน อยากขอให้ทางการไทยพิจารณาทบทวนมาตราการ3ตัดอีกครั้ง เพราะตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นมา ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง ทั้งการดำรงชีวิตในประจำวัน ระบบสาธารณสุข การค้าขาย และการเกษตร ทั้งนี้ การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก และอยากให้ไตรภาคีร่วมถอดบทเรียนในครั้งนี้ด้วย
แหล่งข่าวชาวเวียดนามคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวเนชั่นทีวีว่า ตนเองอยากหางานทำ และเจอโฆษณาในเฟซบุ๊กชักชวนมาทำงานที่ไทยว่ามีรายได้ดี เมื่อเดินทางมาถึงถูกยึดพาสปอร์ตทั้งหมด ต้องทำงานมากว่า1ปี วันนี้ได้รับการช่วยเหลือ และรอวันที่จะได้กลับบ้าน
.
ข่าว : สกาวรัตน์ ศิริมา
ภาพ : จักรินทร์ นมนาน