
5 มีนาคม 2568 ตำรวจไซเบอร์ คุมตัวผู้ต้องหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทย จากปอยเปต 93 คน จาก 100 คน ที่ถูกออกหมายจับ และถูกดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร , ร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์” ไปฝากขังที่ศาลอาญา ส่วนจะคัดค้านการประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน ซึ่งทั้งหมดไปพร้อมกับสัมภาระที่ติดตัว และยังใส่เสื้อสีเขียวและสีฟ้า ที่บ่งบอกถึงวันที่ถูกจับกุมไว้เช่นเดิม
พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสาร สนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. และตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกันแถลงผลการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ จนนำมาสู่การจับกุม 119 คนไทยจากปอยเปต และถูกส่งกลับมาผ่านการคัดกรอง จนถูกออกหมายจับ 100 คน รวมถึงผลการสอบปากคำผู้ต้องหา ว่า ขบวนการคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้ ใช้วิธีการหลอกลวงหลายรูปแบบ ทั้งการเทรดหุ้น โรแมนซ์แสกม เปิดเว็บพนันออนไลน์ รวมถึงหลอกเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ที่ดิน และรูปแบบอื่นๆ ซึ่งทั้งหมด ไม่มีใครถูกทำร้ายร่างกาย
ส่วนอีก 15 คน ที่ไม่ถูกออกหมายจับ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการขยายผลถึงพยานหลักฐานเพิ่มเติม เนื่องจากเบื้องต้นพบว่า ไปทำงานเกี่ยวกับพนันออนไลน์ ส่วนอีก 4 คน ที่เป็นเยาวชนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเช่นกัน
และจากการสอบปากคำ กลุ่มผู้ต้องหา และการซักถาม บุคคลที่ยังไม่ถูกออกหมายจับ ทำให้สามารถสเก็ตภาพ บอสชาวจีน ที่คอยบงการ สั่งการ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารระดับบน และกำหนดการจ่ายเงินของขบวนการได้ จนนำไปสู่การออกหมายจับแล้ว 2 ราย และขณะนี้ อยู่ระหว่างเร่งรวบรวมหลักฐานขอหมายจับ บอสชาวจีนเพิ่มอีก 1 ราย ทั้งนี้จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินที่หลอกมาได้ ก็ยังอยู่ที่บอสชาวจีน 3 คนนี้
โดยหลังจากนี้ ทางการไทย จะร่วมมือกับทางการจีน ทำการขยายผลว่า 3 บอสชาวจีนนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร แต่เบื้องต้นจากการตรวจสอบ ยังไม่พบประวัติการกระทำความผิดของตำรวจสากล
พล.ต.อ.ธัชชัย ยังยอมรับด้วยว่า หลังจากปรับกระบวนการคัดกรองตามกลไก NRM โดยการเพิ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 100 นายเข้ามาร่วมในการสอบสวน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายด้าน ทั้งด้านเทคโนโลยี ด้านวิทยาศาสตร์ และการสืบสวน ทำให้การคัดกรองเหยื่อในครั้งนี้ สามารถแยกได้ว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการ ‘ไม่ใช่เหยื่อ’ เพราะที่ผ่านมา มักจะใช้เพียงแค่ ทีมสหวิชาชีพ ซึ่งยากที่จะพิสูจน์ทราบว่า เป็นเหยื่อที่แท้จริงหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมา ไม่มีใครถูกดำเนินคดี จึงทำให้คนไทยขายชาติ มักใช้เป็นช่องทางนี้ ในการกลับไปกระทำผิดซ้ำ
“การจะพิสูจน์เรื่องนี้ จะใช้เวลาในการสืบสวนขยายผลเป็นเวลานานพอสมควร เพราะพยานหลักฐานอยู่ในต่างประเทศทั้งหมด จึงทำให้เป็นปัญหาที่คนไทยขายชาติ ไปกระทำผิดในฝั่งเทศเพื่อนบ้าน แล้วพอจะกลับเมืองไทยก็มาอ้างว่า เป็นเหยื่อ กลับมาใช้เงิน แล้วก็กลับไปกระทำความผิดใหม่ และชวนคนไทยไปร่วมในขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกในการปิดช่องไม่ให้ผู้ร่วมขบวนการอ้างเป็นเหยื่อได้”
และเชื่อว่า ขณะนี้ ยังมีคนไทยอีกนับ 1,000 คนที่ร่วมอยู่ในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อหลอกคนไทยด้วยกัน แต่ยังไม่ถูกจับกุม โดยหลังจากนี้ทางการไทย ได้ร่วมกับ ทางการกัมพูชา ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ที่กำหนดยุทธศาสตร์ในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันถึงที่ตั้งของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์
และทางการไทยจะมีการขอให้ส่งตัวคนไทย มาลงโทษในประเทศไทย เนื่องจากบทลงโทษที่กัมพูชาเป็นโทษเบา เพราะเป็นเรื่องของการเข้าเมืองผิดกฎหมายและการทำงานแบบผิดกฎหมาย แต่เมื่อดำเนินคดีในประเทศไทย จะมีโทษหนักจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี หรือมากกว่านั้น
ไม่ใช่เฉพาะฝั่งกัมพูชาเท่านั้น เพราะ พล.ต.อ.ธัชชัย ยังบอกถึงภาพรวม มาตรการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาล ในการตัดน้ำตัดไฟ ตัดเน็ตในฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา ด้วยว่า ตั้งแต่ดำเนินการมา ในเดือน ม.ค.-ก.พ. ทำให้ สถิติการรับแจ้งความลดลงถึง 30%