
23 มกราคม 2568 ที่สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย “ติ๊ก ชิโร่” พร้อมน้องสะใภ้และทนายความ ร่วมแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง รวมถึงแนวทางการเยียวยา กรณีที่ “ติ๊ก ชิโร่” เมาแล้วขับชน "น้องเมจิ" และ "น้องจูเนียร์" เสียชีวิต
“ติ๊ก ชิโร่” ย้ำว่า ต้องการชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ได้เป็นการแก้ตัว เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ไม่มีใครอยากให้เกิด ทั้งสองครอบครัวรู้สึกสูญเสียอย่างมากทั้งร่างกายและจิตใจ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับความจริง และหาทางแก้ไขเยียวยาต่อไป
ติ๊ก ชิโร่ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการสูญเสียอย่างมาก ไม่ได้ทำให้ตนแข็งแรง และอาชีพตนก็ไม่สามารถบันดาลทุกอย่าง ให้ไปตามความรู้สึกได้
“ยืนยันว่า ในหัวใจของผมเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ และการเยียวยาเท่าที่จะทำได้ สิ่งหนึ่งที่ทำได้ในฐานะนักร้องนักแต่งเพลงคือ การมอบบทเพลงให้กับครอบครัวศิวพรพิทักษ์ และให้รายได้ทุกบาททุกสตางค์ มอบให้กับน้องเมจิและน้องจูเนียร์ ยืนยันว่า “คำพูดของผมจะเป็นนายตัวเอง”
ขณะที่น้องสะใภ้ของ “ติ๊ก ชิโร่” เล่าว่า หลังจากเกิดเหตุทาง ติ๊ก ชิโร่ ได้ให้ข้อมูลหลักฐานกับตำรวจไปหมดแล้ว และไม่เคยกลับคำให้การ ส่วนที่ยื่นหนังสือรับรองขอความเป็นธรรม ก็เพียงขอให้สอบพยานเพิ่มเติมที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เพื่อเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดี
ส่วนการเจรจาความเสียหาย ที่คุณพ่อของผู้เสียชีวิตบอกว่า ติ๊ก ชิโร่ ไม่เคยไปเจรจานั้น ในวันที่เกิดเหตุตัว ติ๊ก ชิโร่ เข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย ตนจึงเป็นคนประสานงานให้ตั้งแต่วันแรก ในวันเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิตคือ "น้องเมจิ" จึงจ่ายให้ไป 100,000 บาท และเมื่อพี่ติ๊กออกจากโรงพยาบาล ก็ไปร่วมงานศพทุกวัน เมื่องานเสร็จสิ้นก็จ่ายค่าจัดงานไปอีก 75,530 บาท
หลังจากนั้นได้นัดครอบครัวผู้เสียชีวิต เจรจากันครั้งแรกที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ในวันที่ 22 ต.ค. มีผู้ใหญ่ร่วมรับฟังด้วย แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องจาก "น้องจูเนียร์" ยังอยู่ในห้องไอซียู ไม่สามารถสรุปค่าใช้จ่ายได้ แต่ก็มีการติดต่อกันตลอด
ต่อมาครั้งที่ 2 ห่างกันประมาณ 1-2 สัปดาห์ ได้มีนัดคุยที่บ้าน ติ๊ก วันนั้นครอบครัวผู้เสียชีวิตเสนอค่าเยียวยา 9 ล้านบาท แต่ยังพูดไม่ชัดเจนว่า 9 ล้านบาท คือแค่น้องเมจิคนเดียวหรือไม่ และทราบภายหลังว่าคือค่าเยียวยาของน้องเมจิคนเดียว ส่วนน้องจูเรนียร์ พี่ติ๊กไปเยี่ยมและซื้อของที่จำเป็น ถามไถ่อาการอยู่ตลอด
ต่อมาก็มีการนัดหมายอีกครั้งที่ สน.คันนายาว ในวันที่ 29 ต.ค. ระหว่างพูดคุยกันก็มีการประสานกับประกันภัย ทางประกันภัยแจ้งว่า วงเงินที่จะจ่ายเยียวยา สำหรับคนเจ็บและผู้เสียชีวิตนั้น สูงสุดคนละ 1 ล้านบาท แต่หากทางติ๊กเป็นฝ่ายผิด ก็จะจ่ายเพิ่มอีกคนละ 500,000 บาท ทำให้ญาติเข้าใจผิดว่า ทางเราจะเยียวยาเพียงแค่ 3 ล้านบาท ทางญาติของผู้เสียชีวิตจึงเดินมาบอกว่า หากขับรถชนลูกสาวของติ๊กบ้าง แล้ววางเงินให้ 3 ล้านบาทได้หรือไม่ ตนรู้สึกว่าคำพูดนี้แทงใจ และคิดว่าการเจรจาไม่ควรพูดกันแบบนี้
จากนั้นวันที่ 12 พ.ย. 67 ตนจึงเดินทางเขาพบพนักงานสอบสวน และญาติของน้องทั้งสองที่เสียชีวิตโดยลำพัง โดยครอบครัวได้ตัดสินใจนำโฉนดที่ดิน ติดเซ็นทรัลโคราชไปขายให้เร็วที่สุด แต่พ่อบอกว่า น้องจูเนียร์ มีค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล การทำกายภาพในสถานพักฟื้น ทาง ติ๊ก ยินดีรับผิดชอบ เลยตกลงกันว่า ถ้าพ่อมีค่าใช้จ่ายอะไรจะจ่ายให้ แม้กระทั่งค่าเขาซื้อรถจักรยานยนต์ของคนที่เสียชีวิต โดยยอดค่าใช้จ่ายจริงที่จ่ายไป ประมาณ 420,000 กว่าบาท ไม่รวมประกันภัย 5 แสนบาท รวมแล้วที่จ่ายไป 9 แสน 2 หมื่นกว่าบาท แต่ไม่ใช่ว่าจะหยุดเยียวยาแค่นี้ เพราะที่ดินที่ตั้งใจขาย ถ้าขายได้เท่าไรจะให้น้องหมด และปัจจุบัน ติ๊ก ชิโร่ ไม่ได้เป็นนักร้องดารามีรายได้เท่าเมื่อก่อน แต่ทรัพย์สินไหนที่มีก็จะเยียวยา
กระทั่งวันที่ 13 ม.ค. ที่เป็นการเจรจากันครั้งสุดท้ายในชั้นของตำรวจ มีผู้กำกับมานั่งร่วมเจรจาด้วย วันดังกล่าวทางฝั่งครอบครัวผู้เสียชีวิต ได้เสนอตัวเลขค่าเยียวยาของน้องจูเนียร์ 18 ล้านบาท และของน้องเมจิ 6 ล้านบาท รวมเป็น 24 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมองว่า ยังไม่สามารถที่จะให้ได้ เนื่องจากยอดเงินสูงหาให้ไม่ทัน จะต้องมีการปรึกษากับทางครอบครัวก่อน และการเจรจานี้ยังไม่ถึงสิ้นสุด
วันนั้นยืนยันว่าถ้าที่ดินขายได้เท่าไรจะให้คุณพ่อ ทั้งหมดแน่นอน และถ้าขายไม่ได้ก็ยินดีที่จะโอนที่ดินแปลงนี้ให้คุณพ่อ
“ขอร้องให้สังคมเข้าใจว่า เราช่วยจ่ายทุกอย่าง แต่เงินก้อน 24 ล้าน เราก็ต้องขวนขวายหามา แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็ต้องจ่ายเงินให้สุดความสามารถของ “ติ๊ก ชิโร่” เช่นกัน
น้องสะใภ้ ยังย้ำว่า ขณะนี้ทางครอบครัวของพี่ติ๊ก สามารถเยียวยาทั้ง 2 ชีวิตได้ในวงเงิน 4-5 ล้านบาท ซึ่งในอนาคตยังไม่สามารถตอบได้ว่า จะเยียวยาได้สูงสุดเท่าไร เพราะการเจรจายังไม่สิ้นสุด และยังไม่อยากให้ตัดสินว่าจะจ่ายแค่ 4-5 ล้านแล้วจบ
ขณะที่ ทนายกันตเมธส์ จโนภาส บอกว่า ในส่วนแนวทางการดำเนินคดี ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจในชั้นสอบสวน ที่ต้องเรียก ติ๊ก ชิโร่ ไปแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย เป็นข้อหาเมาแล้วขับ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ต้องรอจนกว่าจะถึงการสรุปสำนวน เราไม่ขอก้าวล่วง
แต่เมื่อทราบผลคดีหรือการสรุปสำนวนของพนักงานสอบสวน และส่งสำนวนให้พนักงานอัยการเป็นอย่างไรนั้น เราก็จะดำเนินการร้องขอความเป็นธรรม เพื่อขอให้ทำคดีให้ออกมาถูกต้องตามความเป็นจริงของกฎหมาย
ส่วนคลิปหน้ารถที่เราไม่ได้นำมาเปิดเผยเพราะว่า อยู่ในสำนวนของพนักงานสอบสวน และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาติ๊กไม่เคยปฏิเสธว่า ไม่ได้กระทำความผิด แต่เรามองว่าเหตุการณ์ในคดีนี้ ความผิดจะเกิดจากฝ่ายติ๊กฝ่ายเดียวหรือไม่ คงต้องรอผลจากพนักงานสอบสวนก่อน และทางทนายความได้ทำหนังสือไปที่พนักงานสอบสวน เพื่อให้สรุปสำนวนคดีส่งอัยการเป็นไปตามข้อกฎหมาย
ตอนนี้ยังไม่ได้มีการนัดวันเคลียร์ค่าเยียวยาอีกครั้ง ต้องรอพนักงานสอบสวนเรียกตัวไปแก้ไขสำนวนแล้วแจ้งข้อกล่าวหาใหม่อีกครั้ง ซึ่งเราก็พร้อมจะเจรจา หากเจรจาแล้วไม่ได้ผลก็จะเจรจาใหม่ และหากสรุปสำนวนคดีไม่เป็นธรรม ก็จะร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการเพื่อรักษาสิทธิ์ของเราเอง
นักข่าวเลยถามย้ำอีกว่า แล้วถ้าครอบครัวไม่ยอมรับการเจรจา ทนายความบอกว่า ก็เป็นสิทธิ์ของครอบครัว เมื่อคดีขึ้นสู่กระบวนการศาลศาล ก็มีกระบวนการไกล่เกลี่ยก็เอาไว้เป็นเรื่องของกระบวนการชั้นศาล ส่วนถ้าไปในชั้นศาลคิดว่าจะเจรจาได้ตัวเลข 20,000,000 ตนไม่ขอก้าวล่วงอำนาจศาล เพราะต้องมีการมาพิจารณาหลายองค์ประกอบ ทั้งการประกอบอาชีพ การเลี้ยงดูบุพการี ทั้งนี้เรื่องของตัวเลข ก็คงต้องดูผลทางคดีด้วยว่า ผลทางคดีจะออกมาอย่างไร เงินจำนวนเท่าไหร่ที่เหมาะสม และสมควรด้วยฐานะของทางเราและทางเขา ทนายจะสรุปได้หลังจากที่มีการสรุปสำนวนคดี
ติ๊ก ชิโร่ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปกติแล้วเป็นคนที่ระมัดระวังเรื่องกฎจราจรเป็นอย่างมาก ขนาดพาสุนัขไปเดินเล่นก็จะใส่หมวกกันน็อคทุกครั้ง หรือขับขี่รถจักรยานยนต์ ก็จะใส่หมวกกันน็อกเสมอ และหลายครั้งที่ตนเห็นเยาวชนไม่ใส่หมวกกันน็อก ก็จะเข้าไปเตือนตลอด เพราะชีวิตมีค่า ซึ่งที่ผ่านมาเคยใช้บริการเรียกคนมาขับรถให้ แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของตนในช่วงวัย 63 ย่าง 64 ที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขนาดนี้ แต่ตนก็ไม่ได้ขอให้สังคมให้อภัยตนเอง โดยก่อนเกิดเหตุปกติแล้วตนเป็นคนที่มีนิสัยเฮฮา แต่หลังเกิดเหตุจะต้องระมัดระวัง เพราะจะกลายเป็นข้อครหาของสังคม
อีกทั้งที่ผ่านมา ตนได้ไปเยี่ยมน้องจูเนียร์ที่โรงพยาบาล และได้ฝากฝังให้เจ้าหน้าที่ดูแลน้องจูเนียร์ แต่น้องจูเนียร์ จะต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน ซึ่งทางครอบครัวนั้นไม่มีที่สำหรับดูแลน้องจูเนียร์ จึงได้ส่งน้องจูเนียร์ไปที่ศูนย์ผู้ป่วยติดเตียง ที่มีค่าใช้จ่ายเดือนละ 50,000 บาท ซึ่งตนจ่ายไปเดือนแรก 50,000 เดือนที่สองจ่ายไป 100,000 บาท ไม่มีใครคิดว่าน้องจะเสียชีวิต