
1 กุมภาพันธ์ 2567 สำหรับความคืบหน้าการดำเนินคดีกับกลุ่มรีดทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว โดยล่าสุด ตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. และ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. นำหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตอละประพฤมิชอบกลาง เข้าจับกุม "นายเอกลักษณ์ วารีชล" หรือ "เอก ปากน้ำ" ที่บ้านพักย่านนิมิตรใหม่ 25 เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร
ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องกับการเรียกเอาทรัพย์ อธิบดีกรมการข้าวและภรรยา และเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญที่ "พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว" รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เคยให้ข้อมูลไว้ว่า เป็นคนกลางประสานงานระหว่าง "นายหมู" หนึ่งในกลุ่มของ "นายศรีสุวรรณ จรรยา" ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน และ "นายยศวริศ ชูกล่อม" หรือ "เจ๋ง ดอกจิก" กับ ที่ปรึกษาของ รมว.เกษตรและสหกรณ์
จากประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้น ล่าสุด "นายยศวริศ" พร้อมด้วย "น.ส.พิมณัฎฐา จิระพุทธิภาคย์" หรือ "การ์ตูน"
อดีตผู้สมัคร สส.อุตรดิตถ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมกันแถลงชี้แจงกรณีที่ตกเป็นผู้ต้องหาฐานร่วมกันเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์ ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์
โดยนายยศวริศ กล่าวว่า วันนี้ (1ก.พ.) ตนได้รับความเสื่อมเสีย แบะตัวของการ์ตูนแทบไม่มีที่ยืนในสังคม ซึ่งตนเองขอยืนยันว่า ไม่ได้ถูกจับ แต่เป็นการติดต่อขอมอบตัว ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ดุสิต เพราะตนทราบมาว่ามีหมายจับจึงประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มารับตัวไป โทรศัพท์ส่วนตัวถูกยึดไปตั้งแต่วันแรก ซึ่งตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ ได้พยายามนั่งนึกทบทวนทุกเรื่องราวเพื่อมาเล่าให้ฟัง
นายยศวริศ ระบุว่า เริ่มต้นเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2566 นายศรีสุวรรณ กับตน เจอข้อพิรุธในกรมฝนหลวงเกี่ยวกับข้อทุจริต เมื่อเจอข้อพิรุธจึงนัดหมายกันเพื่อไปร้องที่กรรมาธิการ (กมธ.) ในวันที่ 20 ธ.ค. 2566 เมื่อยื่นข้อร้องเรียนเสร็จสิ้น จึงมีการแถลงข่าวและโปรยเรื่องข้อทุจริตกรมการข้าว
ทั้งนี้ ตนกับนายศรีสุวรรณ มีข้อมูลตรงกันเรื่องกรมการข้าวที่มีการทุจริตมหาศาล และในเย็นวันนั้นเพื่อนของตน ที่อยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง ก็มีการโทรศัพท์มาพูดคุยทำนองว่า อย่าไปยุ่งคนนี้ อธิบดีกรมนี้เปรียบเหมือนน้องชายโดยคนนี้ เป็นคนเสื้อแดงเหมือนกัน เมื่อตนเห็นว่าเป็นพรรคพวก ในคืนวันที่ 20 ธ.ค. ตนก็รีบโทรไปหาอธิบดีกรมการข้าว
อย่างไรก็ตาม จากนั้นเวลา 23.00 น. อธิบดีกรมการข้าวโทรกลับมาแต่ตนไม่ได้รับสาย และได้มาคุยกันอีกครั้งในเช้าวันที่ 21 ธ.ค. โดยทางอธิบดีกรมการข้าวเป็นผู้เอ่ยขอนัดหมายกินกาแฟกัน ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่ระหว่างทางที่ตนกำลังจะไปโรงแรม ก็ขอเปลี่ยนสถานที่ป็นที่กรมการข้าว ทั้งนี้ อธิบดีกรมพยายามโทรตามตนหลายรอบ
"เมื่อไปถึงผมโทรศัพท์หาเพื่อนที่ฝากฝังมาตั้งแต่แรกว่า ได้เจออธิบดีกรมการข้าวแล้ว เพื่อนคนนั้นย้ำว่าขอให้ช่วยน้องเขา น้องเขาเป็นคนดี น้องเขาไม่มีปัญหา จากนั้นผมก็ขึ้นไปที่ห้องทำงาน เจอกับภรรยาอธิบดีรออยู่แล้วด้วย ผมจึงยืนยันว่า ที่มาวันนี้มาเพื่อช่วย และทางอธิบดีแสดงตัวว่า ตัวเขาเป็นคนเสื้อแดง ช่วยคนเสื้อแดงมาตลอด ดังนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีข้อกังขาใด ๆ พร้อมขอบคุณที่ผมมาช่วย" นายยศวริศ ระบุ
ขณะเดียวกัน ตนเองจึงแนะนำให้จากนี้ไปอธิบดีกรมการข้าวประสานกับเลขาของตนที่ชื่อการ์ตูน ซึ่งเป็นผู้ติดตาม เมื่อจบการสนทนา ตนก็ลากลับ อธิบดีและภรรยาก็ลงไปส่งตนที่รถ พร้อมกับกราบสวัสดีอีกครั้งและย้ำว่าขอให้ช่วย ส่วนกรณีที่ภรรยาอธิบดีไปติดต่อกับนายศรีสุวรรณที่บ้าน ตนไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร เป็นเพียงผู้ประสาน เพียงเท่านี้ ขอยืนยันว่าเข้าไปช่วยไม่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในแก๊งปลดทรัพย์ ตนไม่คิดเลยว่าในกรมการข้าวจะมีงูเห่า ตนเป็นชาวนาไม่ใช่แก๊งต้องตกทรัพย์
นายยศวริศ กล่าวอีกว่า ถ้ามีการร้องเรียนก็ต้องมีการสอบสวน ถ้าคนไม่ผิดหรือไม่มีแผล จะมาเคลียร์ปัญหา มาเจรจาทำไม ส่วนตนไม่รู้ว่าผิดหรือถูก ตนถ้าพบพิรุธก็มีหน้าที่เตรียมร้องเรียน ซึ่งที่ผ่านมาตนกับนายศรีสุวรรณ ร้องเรียนมาหลายกรณี ส่วนมากเป็นการร้องเรียนการทุจริตองค์กร เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อีกทั้ง ที่ผ่านมาตนไม่เคยจัดการปัญหากับใครมาก่อน
"จากกรณีนี้ผมไม่ได้เงินสักบาทเดียว วันนี้ตัวของการ์ตูน กำลังมีอนาคตที่ดี กำลังมีแนวทางในสังคม เขาต้องร้องไห้เสียใจทุกวัน เขาผิดตรงไหน เขาไปเป็นแก๊งตบทรัพย์เมื่อไหร่ เขามีหน้าที่แค่ไปประสานงาน ระหว่างผู้ร้องเรียนกับผู้ถูกร้อง ส่วนบุคคลใด สื่อใดที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ผมกำลังให้ทนายความรวบรวมทุกกรณี ขอให้เตรียมรับหมายศาลกันให้ดี แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐเองก็เหมือนกัน ที่กล่าวหาเกินเหตุ เกินควร ออกมาชี้แจงรายวันว่าจับตัวการใหญ่ ก็จะใช้กระบวนการยุติธรรมจัดการ ทุกนายไม่เว้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเสียหายสำหรับผมมาก ซึ่งจะผิดหรือไม่ผิด ใช่หรือไม่ใช่ กระบวนการทางศาลจะมีหน้าที่พิพากษา ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐมาพูดจนประชาชนคนไทยทั้งประเทศมาพิพากษาผมเรียบร้อยแล้ว" นายยศวริศ กล่าว
จากนั้น นายยศวริศ ได้ยกพานธูปเทียนและกล่าวว่า ตนขอสาบานว่าเรื่องทั้งหมดที่มีการกล่าวหาว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ เรียกทรัพย์เพื่อประโยชน์ตนเองและผู้อื่น ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ หากพิสูจน์ความจริงแล้วใครก็ตามที่กล่าวหาตน ที่พิพากษาตน ขอให้ได้รับผลไม่ดี ขอให้ชีวิตไม่มีความสุข ขอให้ต้องรับผลจากการกระทำของตนเอง
ด้าน น.ส.พิมณัฏฐา กล่าวยืนยันว่า วันนี้ตนไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นตัวกลางระหว่างภรรยาอธิบดีกรมการข้าวกับใคร ตนไม่อยากพาดพิงถึงบุคคลอื่น ส่วนที่ตนพยายามตามยอดเงิน คือ ตนพยายามชี้แจงว่าหากโอนไม่ครบ ตนที่เป็นคนเจรจาจะถูกมองว่ายักยอกเงิน
นายยศวริศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการแต่งตั้ง ว่าสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ซึ่งตนได้รับการแต่งตั้งช่วงเดือนพ.ย. และถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ 18 ธ.ค. แต่ขณะเดียวกัน ขัดแย้งกับเอกสารที่ระบุว่ามีการแต่งตั้งในวันที่ 28 ก.ย. ส่วนวันแต่งตั้งตนเองจำเดือนที่แน่นอนไม่ได้ ส่วนที่เห็นภาพตนเองเข้าไปทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลรวมถึงมีป้ายชื่อที่ปรึกษารัฐมนตรีนั่งประชุมนั้น ตนเองเข้าออกสภาและทำเนียบฯ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะไปหาเพื่อน ส่วนที่มีป้ายนั้น เจ้าหน้าที่ทำเนียบฯ เป็นผู้จัดเตรียมไว้ โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองถูกปลดจากตำแหน่งไปแล้ว
นอกจากนี้ รวมทั้งมีกระแสข่าวออกมาว่าตนเองเข้าไปกระทรวงยุติธรรม ยอมรับว่าเข้าไปจริง เพื่อไปหา ดร.ธนกฤต จริง โดยเข้าไปหารือเรื่องกำไล EM เพราะได้รับข้อมูลมาว่า มีการสอบไปในทางทุจริต ดังนั้น ยืนยันว่าไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์แต่อย่างใด
ส่วนข้อสงสัยในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนเองและการ์ตูนนั้น ยืนยันว่าเป็นเพียงเลขาส่วนตัว ซึ่งการ์ตูนก็รู้จักกับครอบครัวของตนเองและลูกสาว ซึ่งก่อนหน้านี้ครอบครัวของการ์ตูน เป็นแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่จ.อุตรดิตถ์ เห็นหน่วยก้านดี จึงเรียกมาทำงานด้วย ซึ่งทำงานร่วมกันมาเป็น 10 ปีแล้ว
ขณะที่ "การ์ตูน" ก็ยืนยันเช่นเดียวกันว่า เรื่องความสัมพันธ์ไม่เป็นความจริง เป็นเพียงเลขาฯ ส่วนตัวเท่านั้น และตนเองก็รู้จักกับครอบครัวของนายเจ๋งทุกคน พร้อมกับยืนยันว่าตนเองไม่รู้จักนายหมู ที่ปรึกษาของ "ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า" รมว.เกษตรฯ แต่ยอมรับว่ารู้จักกับนายเอก ที่มีข้อมูลออกมาว่าเป็นตัวกลาง
ส่วนที่มีการจับกุมนายเอกเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมานั้น ตนเองยังไม่ทราบเรื่อง ส่วนสาเหตุที่รู้จักกับนายเอกนั้น เพราะก่อนหน้านี้เคยนำเรื่องโครงการต่างๆ มาให้ตนตรวจสอบ รวมทั้งยืนยันว่าไม่มีเส้นทางการเงินที่โอนให้กัน ระหว่างนายเอก และตนเองแน่นอน ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวตนเองยังไม่มีการพูดคุยกับนายศรีสุวรรณแต่อย่างใด
สำหรับในส่วนของข้อสงสัยที่บอกว่าตนเองและนายศรีสุวรรณต่างขั้วกันนั้น ทำไมถึงมาจับมือร้องเรียนกัน มองว่าหากมีเรื่องทุจริตก็สามารถเข้ามาร้องเรียนตรวจสอบร่วมกันได้ เช่นเดียวกันกับที่ตนเองเคยอยู่เสื้อแดง แต่ขณะนี้ไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติได้
เมื่อถามย้ำว่า หลังจากเกิดเหตุได้เข้าไปพูดคุยชี้แจงกับ "นายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ แล้วหรือไม่ โดย "เจ๋ง ดอกจิก" ระบุว่า รอเคลียร์ตัวเองให้ใสสะอาดก่อน ถึงจะเข้าไปหาและชี้แจงอีกครั้ง พร้อมทิ้งท้ายฝากให้สื่อมวลชนตรวจสอบภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว เนื่องจากได้รับข้อมูลว่ามีการเปิดบริษัทด้วยเงินสดจำนวน 600 กว่าล้านบาท ว่าเป็นการร่ำรวยผิดปกติหรือไม่
นอกจากนี้ นายยศวริศ ยังยอมรับว่า มีการโทรศัพท์รายงาน ร.อ.ธรรมนัส โดยหารือว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น จะให้ดำเนินการอย่างไร โดยรัฐมนตรีบอกเพียงว่า ให้ตนเองจัดการให้เสร็จสิ้น แต่ไม่ได้ระบุว่าด้วยวิธีการใด อีกทั้ง ยังมีเพื่อนที่เป็นอดีตนักการเมือง แกนนำเสื้อแดง และมีการฝากฝังกับตนเองให้ช่วยเคลียร์ปัญหาดังกล่าวให้เรียบร้อย ตนเองจึงอาสาเข้าไปเป็นตัวกลางในการพูดคุยกับอธิบดีกรมการข้าว โดยไม่ได้รับผลประโยชน์แม้แต่บาทเดียว
ขณะเดียวกัน นายยศวริศ ยังยอมรับว่า รู้จักกับ "ดร.เอก" หนึ่งในผู้ที่ถูกตำรวจ ปปป. เข้าจับกุมเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา หลังพบความเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งตบทรัพย์ของนายศรีสุวรรณ แต่เป็นการรู้จักในฐานะที่ทำธุรกิจด้วยกัน มีการพูดคุยกันในเรื่องโครงการต่างๆ เช่น โครงการวิ่ง แล้วเหตุใดถึงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ส่วนที่ตำรวจจับจากเส้นทางการเงินซึ่งเชื่อมต่อตนนั้น ยืนยันว่า ไม่เคยโอนเงินหรือรับโอนเงินจาก ดร.เอก ทุกครั้งที่ไปร้องเรียนเรื่องการทุจริตหน่วยงาน ดร.เอก ไม่เคยรับรู้หรือเกี่ยวข้องเลย เหตุใดตำรวจถึงไปจับ
นายยศวริศ ยังย้ำว่า สาเหตุที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับแก๊งตบทรัพย์ น่าจะเป็นเกมทางการเมือง ถูกกลั่นแกล้ง
ผู้สื่ข่าวถึงถามย้ำว่า ถูกใครกลั่นแกล้ง นายยศวริศ ระบุว่า เป็นเพียงการสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรื่องทางการเมือง แต่ไม่ขอระบุว่าเป็นใคร ก่อนที่จะฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ที่ไปเฝ้าหน้าบ้าน การทำแบบนี้ เป็นการลิดรอนสิทธิและคุกคาม อยากให้เลิกติดตามตนเอง และยืนยันยังไงก็ไม่หลบหนีพร้อมสู้คดี