svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

"ท่านเรวัช" เปิดช่องYouTube แจ้งข่าวฟ้องยูทูบเบอร์ให้ร้าย วิพากษ์คดีลุงพล

"ท่านเรวัช" เปิดช่องยูทูปแล้ว คนแห่กดติดตามเพียบ ประเดิมแจ้งข่าวเอาผิด ยูทูบเบอร์ให้ร้าย "ลุงพล" ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ลั่น"อย่ามาทะลึ่ง"

23 ธันวาคม 2566 พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร หรือ ท่านเรวัช อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด โพสต์คลิปวิดีโอลงในยูทูป "โอ๊ค วีไอพี" ในหัวเรื่อง "เปิดตัวช่องยูทูปท่านเรวัช ช่องจริง ต่อไปท่านจะไลฟ์สดช่องนี้ช่องเดียวเท่านั้น" พร้อมทั้งลงลิงก์ช่องทางการติดตามไว้ในช่องแสดงความคิดเห็น โดย ท่านเรวัช ได้ลงคลิปความยาว 43.02 นาที พูดถึงการดำเนินคดีกับ ยูทูบเบอร์ ในข้อหา หมิ่นประมาทฯ มีรายละเอียดโดยสรุปว่า.. 

กรณีมีคนนำภาพของตนเองจาก รายการโหนกระแส ไปวิพากษ์วิจารณ์ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ล่าสุดวันนี้ (22 ธ.ค.)  ได้เดินทางไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรเมืองกาญจนบุรี ให้ดำเนินคดีกับ นายอนุชิต ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณาและนำเข้าสู่คอมพิวเตอร์ หลังจากนายอนุชิต ได้ไลฟ์ในช่องยูทูปวิพากษ์วิจารณ์ ว่า ตนเป็นตำรวจไม่ดีและลามไปถึงว่าองค์กรไม่ดี

พล.ต.ท.เรวัช กล่าวอีกว่า ในฐานะอดีตข้าราชการตำรวจทำคุณงามความดีให้บ้านเมือง ไม่ได้เป็นตำรวจอย่างที่ถูกกล่าวหา ชีวิตตนไม่เคยโดนดำเนินคดี ไม่เคยแจ้งความดำเนินคดีกับใคร นี่เป็นครั้งแรกที่แจ้งความดำเนินคดีผู้อื่น งานนี้ไม่ต้องการการขอขมา ไม่ต้องการเงิน จะรอพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกนายอนุชิต ถ้าออกหมายเรียก 2 ครั้งไม่มา ก็ต้องออกหมายจับ ตนก็จะเดินถือหมายจับไปกับตำรวจด้วย

นายอนุชิต เป็นเด็กรุ่นลูกผม อ่อนกว่าลูกคนที่สามของผม การมาไลฟ์วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นมันไม่เข้าท่า ดังนั้น “อย่าทะลึ่งไปกล่าวหาใครไอ้หนู” ทำอะไรต้องมีความยั้งคิดบ้าง ว่าอะไรถูกอะไรผิด 
พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
 

พล.ต.ท.เรวัช กล่าวอีกว่า นี่ใจเย็นแล้วถึงไปแจ้งความเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย นายอนุชิตจะได้รู้บ้าง มันไม่เข้าท่า และตนไม่ใช่เพื่อนเล่นนายอนุชิต แล้วเดี๋ยวได้พบกัน ซึ่งหากช่องยูทูปมีผู้ติดตามครบ 1 พันคน จะเริ่มไลฟ์สดผ่านยูทูปใหม่ทันที

จากการตรวจสอบ ช่องยูทูปของ ท่านเรวัช พบใช้ชื่อช่องว่า "โจ เรวัช กลิ่นเกษร" ล่าสุดเมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ (23 ธ.ค.) มีเนื้อหา 5 คลิป ผู้ติดตาม 8.81 พันคน ซึ่งผู้ที่ต้องการติดตามสามารถ >> คลิกที่นี่ 

  เปิดประวัติ "พล.ต.ท.เรวัช" มือปราบคดีดัง  
พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร เกิดเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2499 มีชื่อเล่น "โจ" ที่อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ในครอบครัวที่เป็นเจ้าของโรงสี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล

สมัยรับราชการตำรวจเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เป็นอดีตรักษาการผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล และอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี เจ้าของฉายา "มือปราบขุนดง" และ "มือปราบศยามล"

ชีวิตในวัยเด็กของ พลตำรวจโท เรวัช ที่บ้านเคยถูกปล้น คุณตาถูกโจรฆ่าตาย ทางบ้านตั้งรางวัลนำจับให้กับตำรวจ 5,000 บาท โดยคุณลุงของ พล.ต.ท.เรวัช ซึ่งเป็นตำรวจ ได้ให้ "เรวัช" ในวัยเด็กขณะนั้น ไปเป็นพยานเพื่อชี้ตัวคนร้าย ทำให้คนร้ายแค้นใจมาก จนถึงขั้นการตามสังหาร ทำให้คุณลุง ได้ฝึกให้เริ่มใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันตัว
"ท่านเรวัช" เปิดช่องYouTube แจ้งข่าวฟ้องยูทูบเบอร์ให้ร้าย วิพากษ์คดีลุงพล

  "เรวัช" อยากเป็นตำรวจ เพื่อแก้แค้นให้คุณตา  
หลังจากที่โดนโจรปล้นบ้าน ทำให้ "เรวัช" อยากไปเป็นตำรวจ เพื่อล้างแค้นให้กับคุณตา แต่เงินทองก็หมดไปแล้ว ทำให้ไม่มีเงินไปเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร จึงต้องไปเรียนต่อมัธยมศึกษาก่อนเพื่อหาลู่ทางต่อไป

ขณะที่เรียนมัธยมศึกษาก็ได้เป็นดรัมเมเยอร์ของโรงเรียน และได้ถูกไล่ออกจากโรงเรียน จึงได้หันไปเรียนโรงเรียนเกษตร แต่เมื่อได้เข้าไปสมัครที่โรงเรียนเกษตรนั้นมีการรับน้อง และได้เกิดการปะทะกันระหว่างการรับน้องกับรุ่นพี่และท่านเรวัชมีการใช้อาวุธทำร้ายรุ่นพี่ จึงได้หลบหนีออกมา และไม่ได้เรียนที่โรงเรียนเกษตร

หลังจากนั้น "เรวัช" ได้มาเรียนที่วิทยาลัยครูเรียนได้ 2 ปี ใกล้จะจบได้เกิดเรื่อง ซึ่งตอนนั้น เรวัช ได้ยืนสูบบุหรี่อยู่และได้มีกลุ่มรุ่นพี่มาขอต่อบุหรี่ ซึ่งก็ให้ต่อบุหรี่ หลังจากต่อบุหรี่เสร็จรุ่นพี่กลุ่มนั้นก็โยนบุหรี่ของเรวัชทิ้ง ในตอนแรกไม่คิดอะไรก็ก้มลงไปเก็บ แต่กลับโดนกลุ่มรุ่นพี่นั้นเตะทำร้ายอย่างรุนแรง จึงได้ควักอาวุธปืนออกมายิงกลุ่มรุ่นพี่นั้นเพื่อป้องกันตัว หลังจากยิงก็หลบหนีออกไป จึงเป็นเหตุให้เรียนไม่จบวิทยาลัยครู

หลังจากหลบหนีไปได้ไปทำไร่ทานตะวันและเก็บเงินได้ประมาณ 8,000 บาท ได้นำเงินไปซื้อหนังสือสนามหลวงมาอ่าน เพื่อไปสอบไล่ มศ.8 และได้ไปเป็นครูฝึกสอนและสอบไล่วุฒิครูได้ หลังจากนั้นก็สอบบรรจุครูและเสมียนได้อันดับที่ 1 ทั้งคู่ ของจังหวัดชัยนาท และได้มีคนสอบครูที่ได้อันดับที่ 4 ได้มาจ้างท่านเรวัชให้สละสิทธิ์โดยให้มอเตอร์ไซค์ 1 คัน ท่านเรวัชจึงสละสิทธิ์ให้และได้มาเป็นเสมียนอำเภอที่จังหวัดชัยนาท

  เส้นทางการรับราชการ จากเสมียนสู่มือปราบ  
พล.ต.ท. เรวัช เริ่มต้นรับราชการเป็นเสมียนที่จังหวัดชัยนาท ทำหน้าที่ติดตามดูแลนายอำเภอ เป็นมือคุ้มครองพ่อเมืองในยุคที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์กำลังอาละวาดหนัก ก่อนขยับขึ้นมาเป็นปลัดอำเภอ และตัดสินใจสมัครเป็นตำรวจ เพราะเป็นความชอบส่วนตัว รวมทั้งที่มีความฝังใจเรื่องคุณตา กระทั่งได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ร้อยตำรวจตรี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2522 รุ่นเดียวกับนายตำรวจดังหลายคน อาทิ 

  • พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลและอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1
  • พล.ต.ท.จุตติ ธรรมมโนวานิช
  • พล.ต.ต.ประสพโชค พร้อมมูล
  • พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น
  • พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8
  • พล.ต.อ.เดชา ชวยบุญชุม อดีตที่ปรึกษา สบ.10
  • พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ อดีตเลขาธิการ ป.ป.ง.
  • พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
  • พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9
  • พล.ต.อ.วินัย ทองสอง อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

เส้นทางการทำงานของ พล.ต.ท.เรวัช เติมโตอย่างต่อเนื่อง กระทั่งได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งตามลำดับ จนได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 สืบต่อจาก พลตำรวจโทสุรพล ทวนทอง ที่ขยับขึ้นไปดำรงตำแหน่ง จเรตำรวจ พร้อมกับรับพระราชทานยศพลตำรวจโท ก่อนจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2559

  ผลงานเด่น เจ้าของฉายา "มือปราบศยามล"  
พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร ติดยศ “นายพล” ขึ้นเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรีเมื่อปี 2550 โดยขยับมาจากตำแหน่ง รองผู้บังคับการศูนย์สืบสวนตำรวจภูธรภาค 7 แล้วย้ายเป็นผู้บังคับการประจำสำนักงานจเรตำรวจ เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 รองจเรตำรวจ (สบ 7) รักษาการผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล และนั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กระทั่งเกษียณอายุราชการในปี 2559

พล.ต.อ.เรวัช ระหว่างรับราชการได้สร้างผลงานไว้มากมาย เช่น คลี่คลายคดีฆาตกรรมศยามล ภรรยาของ นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ แพทย์โรงพยาบาลหัวหิน คดีจ้างวานฆ่าที่ซ่อมเงื่อน จำเลยในคดีเป็นถึงแพทย์ที่สังคมให้การนับถือ เงื่อนปมในคดีที่ซับซ้อน ทำให้ "ท่านเรวัช" ยอมรับว่าเป็นคดีที่ยากและเครียดมาก ซึ่งในเวลาต่อมาท่านเรวัช ได้รับฉายา "มือปราบศยามล" 

  ย้อนคดี "ศยามล" เหยื่ออำมหิต น้ำผึ้งหวานกลายเป็นยาขม  
เมื่อปี 2536 ภาพน่าสลดใจในช่วงเช้าวันที่ 29 ก.ย. มีคนไปพบรถยนต์ถูกจอดทิ้งริมถนนทางเข้าบ้านหนองปลาไหล ท้องที่หมู่ 2 ต.ไร่มะขาม อ.บ้านลาด ภาพของ"ศยามล" อายุ 30 ปี นอนเสียชีวิตบนเบาะข้างคนขับ ถูกแทงด้วยมีดปลายแหลมเข้าที่ลิ้นปี่ รวม 3 แผล มีน้องอิงอิง เด็กหญิงวัย 2 ขวบ กอดศพร่ำไห้อย่างน่าเวทนา จากการชันสูตรนอกจากบาดแผลแล้วยังพบว่าถูกรัดคอด้วย

คดีนี้เป็นที่จับตาของคนในสังคม ตำรวจเร่งสอบสวนจนใกล้ตัวฆาตกร ซึ่งจากการสอบปากคำแม่ของศยามล ทราบว่า  "วันนั้น ศยามล ขึ้นรถไปกับใคร เด็กหญิง 2 ขวบ บอกอย่างไม่ชัดเจนนักว่า "ต๋า"  ซึ่งอาจตีความได้คือคำว่า "ป๋า" ปกติแล้ว ด.ญ.อิงอิง จะเรียก นพ.บัณฑิต ว่า "ป๋า"

หลักฐานเบาะแสสำคัญที่คลี่คลายคดีนี้คือ "บันทึกของศยามล" ที่เขียนบรรยายชีวิตเศร้าง ความร้าวราวในชีวิตรักที่เกิดจากสามี พร้อมกับส่งเรื่องไปตีแผ่ยังนิตยสารรายปักษ์ชื่อดังฉบับหนึ่ง เมื่อเดือนกันยายน 2534 โดยใช้นามปากกาว่า "สาวนิรนาม"

ในบันทึกของศยามล มีแต่เรื่องราวความเศร้า หวังใช้เป็นบันทึกที่เขียนให้ลูกได้รู้ว่าแม่ได้ต่อสู้อย่างไรบ้าง บันทึกเล่าถึงสามีที่ไม่เคยดูแล แม้เวลาใกล้คลอด จะขอบัตรประชาชน เพื่อจะแจ้งเป็นพ่อของลูกก็ยังไม่ยอมให้ จึงต้องใช้ทะเบียนสมรสแทน ก่อนที่จะมีการส่งคนมาเจรจาเพื่อขอแยกทาง สุดท้ายต้องยอม เพราะความเบื่อหน่ายโดยได้เงินมาก้อนหนึ่ง 

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยังเจอหลักฐานอื่นๆ จากการตรวจสอบที่บ้านพัก อ.กุยบุรี โดยมีการเขียนระบุถึงผู้จ้างวาน และเผยความในใจว่ายังรักถึงขนาดว่า “หากผู้ใกล้ชิดคนนี้ไปแต่งงานก็จะแต่งชุดดำไปฉีกหน้าในงาน”

  นิติวิทยาศาสตร์ คลี่คลายคดี  
ตำรวจทำการสืบสวนอย่างเข้มข้น กระทั่งเจอหลักฐาน น้ำอสุจิ ต่อมาได้มีการพิสูจน์ว่าได้มีคนนำมาฉีดใส่ เพื่อที่จะเบี่ยงเบนประเด็น กระทั่งต่อมาจับกุม ส.ต.อ.แผ่ว ภู่เต็ง ขณะกำลังมาขึ้นศาลในคดีพกอาวุธ โดยเจ้าหน้าที่เชื่อว่า ส.ต.อ.แผ่ว อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง และในเวลาต่อมาบุกจับกุม นพ.บัณฑิต โดยตั้งข้อหาจ้างวานฆ่า โดยทีมสังหาร 2 คนคือ ส.ต.อ.แผ่ว ภู่เต็ง และ นายบรรจบ หรือ จุก นิลห้อย ซึ่งให้การซัดทอด นพ.บัณฑิต

หมัดเด็ดของคดีนี้คือ นิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งคดีนี้ พล.ต.ท.เรวัช รับหน้าที่เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เก็บพยายานหลักฐานด้วยการเก็บดีเอ็นเอจากน้ำอสุจิ ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครทำเช่นนี้ ปรากฎว่าสามารถตรวจเปรียบเทียบลายนิ้วมือได้ตรงกับ ส.ต.อ. แผ่ว ภูเต็ง ถึง 13 จุด ตำรวจจึงใช้ดีเอ็นเอ เป็นหลักฐานจับกุมผู้ต้องหา อีกทั้งยังสามารถสืบสวนจนแกะรอยจับผู้ต้องหาได้ทั้งหมด รวมถึง หมอบัณฑิต ผู้จ้างวานอีกด้วย

ผู้ต้องหาในคดีนี้มี 6 คน ประกอบด้วย นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์, นายสมหมาย สังข์เคลือบ, นายสมหมาย เนียมศรี, นายสาธิต มีเย็น, นายบรรจบ นิลห้อย และ ส.ต.ต.แผ่ว ภูเต็ง สังกัด กก.ตชด.ที่ 14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า

กระทั่งเมื่อ วันที่ 22 ธ.ค.2537 ศาลชั้นต้นสั่งประหาร นพ.บัณฑิต ข้อหาจ้างวานฆ่า นายสมหมาย สังข์เคลือบ นายสมหมาย เนียมศรี และ นายสาธิต มีเย็น สั่งจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ต่อมา นายสาธิต ได้เสียชีวิตระหว่างรอยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

ขณะที่ ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษา เมื่อ 23 ก.ย.2539 ยืนตามทั้ง 2 ศาล คือ ประหารชีวิต นพ.บัณฑิต ซึ่งยังปฏิเสธมาโดยตลอด เป็นอันสิ้นสุดคดีประวัติศาสตร์