24 ตุลาคม 2566 เฝ้ารอความเป็นธรรมมา 12 ปี กับการเสียชีวิตจากการซ้อมทรมาน "พลทหารวิเชียร" นายวิเชียร เผือกสม ที่เพิ่งจบการศึกษาปริญญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สมัครทหารเกณฑ์ จากนั้น นายทหารยศร้อยโท พร้อมพวก รวม 10 นาย ซ้อมทรมาน จนเสียชีวิตระหว่างฝึกซ้อมทหารใหม่ใน ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2554
ล่าสุด มูลนิธิผสานวัฒนธรรม โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก "Cross Cultural Foundation (CrCF)" ระบุว่า..
‘ความยุติธรรม’ กับคดีพลทหารวิเชียร เผือกสม จะได้รับมันหรือไม่?
วันที่ 25 ตุลาคมที่จะถึงนี้ พวกเรามาร่วมกันฟังคำพิพากษาของคดี พลทหารวิเชียร เผือกสม พร้อมกัน ที่ ศาลมณทลทหารบกที่ 46 เวลา 09.00 น. ว่าพลทหารวิเชียร เผือกสม ครอบครัวและญาติของพลทหารจะได้รับความยุติธรรมหลังจากที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมตลอด 13 ปีที่ผ่านมาหรือไม่
ที่มา >>
ย้อนรอยคดีซ้อมทรมาน "พลทหารวิเชียร"
นายวิเชียร เผือกสม เคยอุปสมบทเป็น พระภิกษุ ศึกษาจนจบชั้นปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) คณะพุทธศาสตร์ สาขาวิชาศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ผลการเรียนเกียตินิยมอันดับ 1 ต่อมา สำเร็จระดับปริญญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีผลการเรียนดีเยี่ยม
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2554 นายวิเชียร ได้สมัครเข้ารับการเกณฑ์ทหารและเข้าฝึกที่หน่วยฝึกทหารใหม่ ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เริ่มต้นเส้นทาง "พลทหารวิเชียร" ผลัด 1/2554 นับตั้งแต่นั้น
ต่อมา วันที่ 1 มิถุนายน 2554 "พลทหารวิเชียร" ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเจ้าหน้าที่ทหาร 10 นาย ยศตั้งแต่ "ร้อยโท" ลงมา ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกาย โดยทรมานและกระทำทารุณโหดร้าย อ้างว่า พลทหารวิเชียร หลบหนีการฝึก กระทั่งวันที่ 5 มิถุนายน 2554 ได้เสียชีวิตที่ รพ.นราธิวาสราชนครินทร์ จ.นราธิวาส ด้วยวัยเพียง 26 ปี
การเสียชีวิตของนายทหารวิเชียร เป็นที่ข้องใจของทางครอบครัวอย่างยิ่ง เนื่องจากสภาพศพนั้นหน้าของทหารวิเชียรถูกกระแทกกับของแข็งจนฟันหักและซี่โครงเดาะ แพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจาก "ไตวายเฉียบพลัน จากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง"
สภาพร่างของ พลทหารวิเชียร พบบาดแผลและความบอบช้ำตามร่างกาย ซึ่งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงภายหลัง พบว่า เกิดจากการถูกตบหน้า ให้กินพริกสดกับข้าว ถูกกระทืบ ใช้เกลือทาแผล ให้นั่งบนก้อนน้ำแข็ง ใช้ผ้าขาวห่อตัวเหลือแค่ใบหน้าในลักษณะมัดตราสังข์เหมือนศพ ร่างกายถูกทำร้ายจนร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก
"เมย์" ผู้ทวงถามความเป็นธรรมให้น้าชาย
"เมย์" น.ส.นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ คือ ตัวละครที่ทำหน้าที่ทวงความยุติธรรมให้กับ "พลทหารวิเชียร" น้าชายแท้ๆ โดยเมื่อปี 2554 เมย์ ยังเป็นเพียงนักศึกษาปี 2 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เดินสายไปยื่นหนังสือติดตามความคืบหน้าทางคดี ทวงความยุติธรรมให้กับน้าชายที่ถูกซ้อมทรมานในค่ายทหารจนเสียชีวิต
เมย์ นริศราวัลย์ เดินหน้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน ทั้งในกองทัพและบุคคลสำคัญ ทั้ง ผบ.พล.ร.15, แม่ทัพภาคที่ 4, ผบ.ทบ. เรื่องราวตกเป็นข่าวตามสื่อมวลชนแขนงต่างๆ
สุดท้ายคดีก็ไม่มีความคืบหน้า แต่กลับถูกดำเนินคดีจากคู่กรณี นายทหารยศ "ร้อยโท" ฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาท และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ถูกนำหมายของศาลจังหวัดนราธิวาส บุกจับถึงที่ทำงานสังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยเธอไม่เคยได้รับหมายเรียกก่อนแต่อย่างใด โดยสุดท้ายถูกยกฟ้องทั้งสองข้อหาในเวลาต่อมา
เมย์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า..
"ไม่ย่อท้อที่จะทำความจริงให้ปรากฏ ยืนหยัดในความเป็นจริง ยืนยันไม่ใช่เรื่องความแค้นส่วนตัว แต่ทำเพื่อให้ความยุติธรรมปรากฏ คนผิดต้องไม่ลอยนวลให้เติบโตในราชการ ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบต่อไปได้ รวมทั้งจะต้องไม่มีเหยื่อเพิ่มขึ้นมาอีก"
ไทม์ไลน์ ทวงความยุติธรรม "พลทหารวิเชียร"
เมย์ นริศราวัลย์ เดินหน้าทวงความเป็นธรรมให้ "พลทหารวิเชียร" กระทั่งวันที่ 8 กรกฎาคม 2558 คณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้ส่งหนังสือแจ้งการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีการเสียชีวิตของ พลทหารวิเชียร เผือกสม ระบุว่า..
ระหว่างควบคุมของครูฝึกในหน่วยฝึกของค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชครินทร์ ในสังกัด ร.151 พัน.3 ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ร้อยโทหนึ่งนาย กับพวกรวม 10 คน ผู้ถูกกล่าวหามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และประมวลกฎหมายอาญาทหาร พ.ศ. 2473 มาตรา 30 (4) โดยจะมีการส่งสำนวนคดีไปยังพนักงานอัยการต่อไป
ข้อเท็จจริงตามบันทึกของหลานสาว ที่เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บ และสาเหตุนั้นสอดคล้องกับรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกองทัพภาคที่ 4 ที่ กห 0448/2463 ฉบับลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2554 ดังนั้น มารดาของพลทหารวิเชียร ได้ยื่นฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนทางละเมิดต่อหน่วยงานต้นสังกัด
เนื่องจากเป็นกรณีละเมิดในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ โดยครูฝึก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของกองทัพบกได้ทำร้ายร่างกายพลทหารวิเชียร จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิต โดยได้รับความช่วยเหลือจากสภาทนายความ และจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เป็นทนายความโจทก์และดำเนินการร่วมกับโจทก์ตลอดมา
โดยเป็นคดีความแพ่ง คดีเลขดำที่ 2072/2555 ศาลแพ่ง ระหว่างนางประเทือง เผือกสม โดยนางสาวนริศราวัลณ์ แก้วนพรัตน์ ผู้รับมอบอำนาจเป็นโจทก์ กับ กระทรวงกลาโหมที่ 1 กองทัพบก ที่ 2 สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 3 เป็นจำเลย ข้อหาหรือฐานความผิดละเมิดเรียกค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เป็นจำนวนทุนทรัพย์ 18,067,193 บาท 57 สตางค์ ลงวันที่ฟ้องเมื่อ 24 พฤษภาคม 2555 แต่ทั้งนี้คดีความแพ่งดังกล่าวสามารถไกล่เกลี่ยกันได้
ทั้งนี้ 21 กุมภาพันธ์ 2557 ศาลแพ่ง ได้พิพากษาให้คดีความเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความคดีความหมายเลขแดง 596/2557 ตามที่กองทัพบกยอมจ่ายเงินค่าเสียหายจำนวน 7,049,213 บาท โดยหักเงิน 5 แสนบาทที่จ่ายไปก่อนหน้านี้ จ่ายเพิ่มประมาณ 6.5 ล้านบาท ให้กับครอบครัวของ พลทหารวิเชียร ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
เดินหน้าฟ้อง คดีอาญา ทางความเป็นธรรม
แม้ว่าจะได้รับความเป็นธรรมทางสินไหมทดแทนในคดีแพ่ง แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือ การดำเนินคดีอาญา กับ ข้าราชการทหาร โดยตลอดระยะเวลานับสิบปีที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานสอบสวนเจ้าของพื้นที่ พนักงานอัยการทหาร
ทั้งนี้มักจะมีเหตุอ้างว่า จำเป็นจะต้องรอการตรวจสอบ และชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และการขัดขืน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดนั้น ซึ่งกฎหมายได้บัญญัติการส่งสำนวนการสอบสวนไปให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช.
นริสราวัลณ์ ขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. โอนคดีความดังกล่าวนี้ไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ กระทรวงยุติธรรม หรือ ป.ป.ท. เนื่องจากตำแหน่งทางราชการของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งมีหน้าที่ทางราชการต่ำกว่ายศพันตรีลงมา อยู่ในอำนาจการสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ท. จนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้โอนสำนวนคดีความดังกล่าวให้กับ ป.ป.ท. ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมาย และรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2555 หนังสือขอให้การเร่งรัดอีกฉบับได้ไปพร้อมกับเอกสารสำนวนคดีความกลับไปยังศาลมณฑลทหารบกที่ 42 ทั้งนี้เพราะในความผิดฐานร่วมกันฆ่าโดยมิได้เจตนา แต่ร่วมกันทำร้ายร่างกาย โดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290, 83 มีโทษสถานหนักกว่า ความผิดฐานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์การไต่สวน และชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ท.
ลักษณะของการร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย จนเป็นเหตุให้พลทหารวิเชียร เผือกสมถึงแก่ความตายนั้น ได้มีหลักฐาน พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานแวดล้อมและอื่นๆ ยืนยันการกระทำความผิดที่ชัดเจน อีกทั้งคดีความแพ่ง ทางครอบครัวได้รับเงินสินไหมทดแทน 7,049,213 บาท จากหน่วยงานต้นสังกัดแล้ว
แต่ในคดีทางอาญายังไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 10 นาย ยังคงโดนลงโทษแค่เพียงทางวินัย และได้กลับมาเป็นครูฝึกทหารเช่นเดิม มิหน้ำซ้ำผู้ถูกกล่าวหาบางนายยังได้เลื่อนขั้นตำแหน่งทางราชการในยศที่สูงขึ้นแล้วอีกด้วย แต่ทั้งนี้เนื่องจากกฏหมายที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ราชการจึงไม่สามารถดำเนินการเช่นนั้นจำเป็นจะต้องรอการดำเนินการชี้มูลความผิดในมาตรา 157 ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
9 ปีที่รอคอย ป.ป.ท. สรุปสำนวนส่ง อัยการศาลทหาร
ในส่วนของคดีอาญา ใช้ระยะเวลาการดำเนินคดียาวนานมาก โดยคดีนี้อยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ท. ซึ่งสรุปสำนวนส่งไปยังอัยการศาลทหาร รวมระยะเวลา 9 ปี ยื่นคำฟ้องต่อศาลทหาร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 และยังคงอยู่ในกระบวนการดำเนินคดีมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 23–24 มิถุนายน 2565 ศาลมณฑลทหารบกที่ 46 ได้นัดสืบพยานในคดีดำที่ 41 ก./2563 คดี "พลทหารวิเชียร เผือกสม" ถูก ร้อยโทภูริ เพิกโสภณ กับเจ้าหน้าที่ทหารรวม 9 คน เป็นจำเลยกรณีรุมซ้อมทรมาน มีพยานบุคคลเข้าให้ถ้อยคำจำนวนมาก
สำหรับการสืบพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย มีมาอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22-24 มีนาคม 2566 ศาลมณฑลทหารบกที่ 46 ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี ได้มีการสืบพยานโจทก์เพียงจำนวน 2 ปาก ได้แก่ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญขึ้นเบิกความในนัดดังกล่าว เหตุเพราะพยานโจทก์อีก 3 ปาก ซึ่งเป็นทหารที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุนั้นไม่ได้เดินทางมาที่ศาลตามนัดและไม่สามารถติดต่อให้มาเบิกความที่ศาลได้
นอกจากนี้จำเลยที่ 1-3 ได้แก่ หัวหน้าครูฝึก 1 ปาก ผู้ช่วยครูฝึก 1 ปาก และครูนายสิบ 1 ปากตามลำดับ ได้นำส่งคำเบิกความก่อนวันนัดสืบพยานดังกล่าว
ศาล แถลงว่า ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนแล้ว แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นระบบไต่สวน ศาลอาจมีการนัดสืบพยานเพิ่มเติมหากยังคงมีข้อสงสัยในประเด็นใดระหว่างการเขียนคำวินิจฉัย โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า โดยได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคม 2566
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงกำหนด 25 สิงหาคม 2566 ปรากฏว่า ศาลได้แจ้งให้คู่ความทราบในวันนัด ว่า มีปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ จึงให้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 25 ตุลาคม 2566
ความยุติธรรมของ "พลทหารวิเชียร" จะเป็นเช่นใด 25 ตุลาคมนี้ คงต้องติดตามแบบไม่กระพริบตา !!