27 พฤษภาคม 2566 นายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานคดี นางสาวสรารัตน์ หรือ แอม ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมวางยา ไซยาไนด์ ยื่นหนังสือถึงนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายคลายทุกข์ ให้เข้าช่วยเหลือกรณีที่ตัวเองถูก นางสาวสรารัตน์ หรือ แอม ผู้ต้องหาในคดีฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาท หลังไปให้สัมภาษณ์ออกรายการโทรทัศน์ กล่าวหาแอมโกหกเจ้าหน้าที่ตำรวจหัวปั่น ในการให้ปากคำ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โดยนายรพี เปิดเผยว่า ได้แต่งตั้งทนายเข้าไปในสำนวนแล้ว พร้อมที่จะขึ้นศาลในวันที่ 1 มิถุนายน นี้ ซึ่งทางฝ่ายทนายของนางสาวแอม จะเบิกตัวแอม มาให้การในชั้นศาลในฐานะโจทก์ ที่ศาลอาญรัชดาวันที่ 1 มิ.ย. เวลา 16.30 น.
นายรพี ยังเผยอีกว่า ไม่ได้รู้สึกกังวลเกี่ยวกับการที่ถูกฟ้องร้องในครั้งนี้ เพราะว่าตัวเองเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจากทางครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งคำที่ได้ให้สัมภาษณ์ออกรายการทีวีนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมดและมีตำรวจเป็นพยานในชั้นศาลอีกด้วย ถึงพฤติกรรมการให้การของผู้ต้องหาที่วกวน
ขณะที่ ทนายเดชา ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ เปิดเผยว่า พร้อมที่จะขึ้นว่าความให้นายรพี โดยเบื้องต้นได้สอบถามไปยังพนักงานสอบสวนก็ทราบข้อมูลว่าคำให้การของผู้ต้องหาเป็นไปตามที่นายรพี ได้ให้สัมภาษณ์ออกสื่อ ทั้งเรื่องทรัพย์สินรถยนต์ที่ใช้ในวันเกิดเหตุ ซึ่งยืนยันว่าสามารถที่จะแก้ต่างให้กับนายรพี คนมีพยานหลักฐานเป็นคลิปเสียงและความคืบหน้ารายงานคดีของพนักงานสอบสวน อีกทั้งในวันที่มีการไต่สวนก็สามารถที่จะซักถามนางสาวแอม ว่าเป็นผู้ก่อเหตุลงมือฆาตกรรมนางสาวก้อยจริงหรือไม่เนื่องจากแอม บอกว่าไม่ได้เป็นบุคคลที่อยู่ในคลิปที่ปรากฏออกสื่อ รวมถึง จะได้มีการซักถามในประเด็นอื่นๆที่เกี่ยวข้องในคดีซึ่งคำให้การของผู้ต้องหาอาจจะไปเชื่อมโยงในพฤติกรรมต่างๆได้ ถือว่าเป็นประโยชน์ในทางคดีอีกมุมหนึ่งด้วย
ในส่วนที่ทางด้าน "ทนายพัช" ได้ยื่นฟ้องต่อเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 157 และ พ.ร.บ.อุ้มหาย ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของทนายความ แต่หากว่าการฟ้องหมิ่นนายรพี ศาลตัดสินว่าไม่มีความผิดก็เตรียมฟ้องกลับนางสาวแอม และทนายพัชอย่างแน่นอน
นอกจากนี้นายรพี ยังได้เตรียมเอกสารไปยื่นร้องขอให้ตรวจสอบมรรยาททนายความกับการกระทำของทนายพัช ที่ตัวเองตั้งข้อสงสัยไว้จำนวน 10 ข้อ เกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์สื่อและการเอาผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมถึงสื่อมวลชนว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นทนายความ รวมถึงการให้สัมภาษณ์ในเชิงเยาะเย้ยญาติผู้เสียชีวิตว่าเป็นการอุปทานหมู่