7 มีนาคม 2566 แถลงข่าวจับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่ ที่ บช.ปส. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. พร้อม พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงจับกุมเครือข่ายยาเสพติด โดยจับกุมผู้ต้องหา และยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก รวม 4 คดี
คดีแรก ตำรวจ บก.ปส.3 จับกุม เครือข่ายยาเสพติด ขณะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่จังหวัดตาก ส่งให้กลุ่มเครือข่ายในจังหวัดสุพรรณบุรี ตำรวจพบรถกระบะต้องสงสัย 2 คัน จอดอยู่ในปั๊มน้ำมัน บริเวณถนนพหลโยธิน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท โดยรถหนึ่งคันคอยดูลาดเลาล่วงหน้า ส่วนอีกคันขับตาม
กระทั่งมาถึงปั๊มน้ำมัน ในพื้นที่ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น และจับกุม นายธงชัย(สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี และ นายเฉลิมชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี ทั้งสองคนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ใน อ.พบพระ จ.ตาก
จากการตรวจค้นพบยาไอซ์ บรรจุในถุงสุญญากาศห่อด้วนถุงบรรจุชาเขียว รวม 1,000 กิโลกรัม, ยาบ้า 1.4 ล้านเม็ด และ คีตามีน 300 กิโลกรัม ถูกซุกซ่อนอยู่ที่ท้ายกระบะ โดยมีมะเขือ แตงกวา ผักกาดขาว ปกปิดอำพรางไว้
จากนั้นขยายผลไปค้นบ้านพักของผู้ต้องหา พบรถกระบะที่ใช้ก่อเหตุ 2 คัน, ทองรูปพรรณมูลค่า 100,000 บาท และเงินสด 844,000 บาท ก่อนคุมตัวทั้งหมดส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย
สำหรับผู้ต้องหาในคดีนี้มีหน้าที่รับจ้างลำเลียงขับรถจาก อ.พบพระ มาที่ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก และพบว่ามีการทำมาหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจะได้ค่าจ้างไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท
คดีที่สอง ตำรวจ บก.ปส.4 จับกุมนายพรเชษฐ์ หรือ หมู อายุ 38 ปี และพวกรวม 5 คน หลังสืบทราบว่ามีกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ จ.สงขลา จะลำเลียงยาเสพติด จากภาคเหนือไปยังภาคต่างๆของประเทศ โดยพบว่า นายพรเชษฐ์ และพวก ได้ลำเลียงยาเสพติดจาก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ไปส่งให้ลูกค้าที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับข้อมูล และสืบสวนจนทราบว่า กลุ่มคนร้าย ได้ขับรถมายังรีสอร์ทแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.ตาก จึงเข้าจับกุม และตรวจค้นพบของกลางเป็น ยาบ้า 1.2 ล้านเม็ด , และยึดรถยนต์ ที่ร่วมใช้ก่อเหตุจำนวน 2 คัน พร้อมเงินสด และทองรูปพรรณจำนวนหนึ่ง
คดีที่สาม ตำรวจ บก.สกส.เข้าจับกุม นายณัฐวุฒิ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี , นายสุรัต (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี และ นายรังสี (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี
พร้อมของกลาง ยาบ้า 3 ล้านเม็ด , ไอซ์ 200 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในกล่องกระดาษภายในห้องโดยสารของรถตู้เพื่อลำเลียงจากภาคเหนือ ลงสู่ภาคกลาง บนถนนสายเอเซีย อ.บางประหัน จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่จึงตามตรวจยึดรถที่ใช้นำทางได้อีก 1 คัน
สำหรับคดีนี้คนร้ายจะใช้วิธีการโดยนำยาเสพติดบรรจุเป็นกล่องพัสดุ วางใส่ไว้ในรถตู้ ซึ่งมีการถอดเบาะด้านหลังออก จากนั้นจะนำส่งลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง โดยทุกครั้งที่ส่งยาเสพติดเสร็จสิ้น ก็จะมีการขายรถตู้ทิ้ง และนำเงินสดไปซื้อรถตู้คันใหม่ มาใช้ขนยาเสพติดต่อ
คดีที่สี่ ตำรวจ บก.ปส.4 จับกุมผู้ต้องหา 4 ราย โดยตำรวจพบว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้จะลักลอบนำยาเสพติดจาก จ.สงขลา ไปยัง จ.ปัตตานี โดยจะใช้รถยนต์จำนวน 2 คัน เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ กระทั่งเมื่อรถต้องสงสัยขับผ่านด่านตรวจ บริเวณ ต.รูสมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี เจ้าหน้าที่จึงเรียกตรวจค้น พบของกลาง เป็นยาบ้า 110,000 เม็ด และตรวจยึดรถกระบะ 2 คัน
ด้านพล.ต.อ.ชินภัทร กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการบูรณาการทุกหน่วยงานเกี่ยวกับการสกัดกั้นยาเสพติด ตามเส้นทางต่างๆ โดยเฉพาะเส้นทางรอง ที่คนร้ายมักใช้เป็นเส้นทางลำเลียงยา
“กระแสข่าวที่ว่า บช.ปส.มีการนำยาเสพติดมาหมุนเวียนแถลงข่าวจับกุมนั้น ขอยืนยันว่า บช.ปส.จะไม่มีการเก็บยาเสพติดของกลางไว้ที่หน่วยอย่างเด็ดขาด ซึ่งหลังจากแถลงข่าวเสร็จสิ้นทุกครั้ง ก็จะนำไปส่งตรวจพิสูจน์ และทำลายต่อไป”
พล.ต.อ.ชินภัทร กล่าวอีกว่า ขณะที่ไอซ์ล็อตใหญ่ที่ถูกจับกุมครั้งนี้ เชื่อว่าจะต้องมีผู้มีอิทธิพลตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านอยู่เบื้องหลัง โดยใช้เส้นทางลำเลียงจากพื้นที่เขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อย เข้ามาในประเทศไทย จากนั้นก็ส่งเข้าพื้นที่ชั้นใน โดยตำรวจก็ได้มีการประสานกับทางการพม่า ในการเร่งรัดติดตามจับกุม
ผู้ต้องหารายสำคัญบางรายอาศัยอยู่กับชนกลุ่มน้อยบางกลุ่ม ที่ยังไม่สามารถติดตามจับกุมได้ แต่ยอมรับว่าในการดำเนินคดีจะต้องให้แล้วเสร็จในความผิดของประเทศเพื่อนบ้านก่อน ที่จะมีการส่งมอบตัวกันในภายหลัง พร้อมยืนยันว่าการจับกุมยาเสพติดล็อตนี้จะมีการขยายผลย้อนหลัง ว่ามีความเชื่อมโยงกับคดีสำคัญเก่าๆด้วยหรือไม่
เบื้องต้นตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 14 ราย ยึดของกลาง ไอซ์ 1.2 ตัน , ยาบ้า 5,710,000 ล้านเม็ด , คีตามีน 300 กิโลกรัม และยึดรถยนต์ 8 คัน , โทรศัพท์มือถือ 18 เครื่อง โดยจะดำเนินคดีผู้ต้องหาทั้งหมดในฐานความผิด “ร่วมกันมียาเสพติดประเภท1 (ยาบ้า) ไว้จำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต” หลังจากนี้ตำรวจจะขยายผลติดตามบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเครือข่ายยาเสพติดต่อไป