
13 ธันวาคม 2565 ความคืบหน้ากรณี ตำรวจ สน.คันนายาว ร่วมกับตำรวจญี่ปุ่น เข้าจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ชาวญี่ปุ่น 5 ราย ลวงเพื่อนร่วมชาติมาทำงาน แต่กักขังให้ร่วมขบวนการ บังคับหลอกเหยื่อคนญี่ปุ่น ผู้เสียหายหลบหนีได้ ก่อนประสานสถานทูตเข้าจับกุม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ล่าสุด เมื่อช่วงบ่ายที่ สน.คันนายาว พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 เดินทางมาประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าคดี โดยมี พ.ต.อ.นเรนทร์ เครื่องสนุก ผกก.สน.คันนายาว และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยช่วงเช้าของวันนี้ พนักงานสอบสวน สน.คันนายาว ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาชาวญี่ปุ่นทั้ง 5 ราย ไปส่งศาลอาญามีนบุรี เพื่อฝากนำตัวฝากขัง
จากการสอบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาจะนำรายชื่อและข้อมูลเหยื่อชาวญี่ปุ่นมาให้ และโทรศัพท์ไปหลอกลวงผู้สูงอายุ ที่อยู่ประเทศญี่ปุ่น โดยหลอกว่าโทรมาจากเจ้าหน้าที่เขตส่งเอกสารส่วนลดสิทธิค่ารักษาพยาบาลไปที่บ้าน เมื่อเหยื่อตอบว่าไม่ได้รับ ก็จะขอข้อมูลส่วนตัว ชื่อ บัญชีธนาคาร และเบอร์มือถือจากเหยื่อผู้สูงอายุ จากนั้น จะใช้วิธีให้ผู้ต้องหาอีกคน หลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคาร โทรไปหลอกให้ผู้เสียหายเดินไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม เพื่อให้ได้รับสิทธิค่ารักษาพยาบาลคืน และหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินออกจากบัญชี
ทั้งนี้พบว่า นายคาวาบาตะ โคทาโร อายุ 39 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งใน 5 ผู้ต้องหา พบรอยสักจำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นหัวหน้าแก๊งยากูซ่าในประเทศญี่ปุ่น มาสร้างเครือข่ายหลอกลวงในประเทศไทย
เบื้องต้น พนักงานสอบสวนแจ้ง 7 ข้อกล่าวหาคือ 1.ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ 2.ข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์ โดยพามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยว กักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งบุคคล โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับฯ ลักพาตัว 3. ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่ก็ทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตฯ
4. ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพทางร่างกายฯ 5. ร่วมกันเป็นอั้งยี่ 6. ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และ 7. ไม่แจ้งที่พักอาศัยต่อเจ้าพนักงานตำรวจภายใน 24 ชั่วโมง และประสานให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองมารับดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป