พล.ต.ต.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี น.ส.บี (นามสมมุติ) อดีตแพทย์อายุรกรรม และอดีต ผอ.ศูนย์แพทย์ศาสตร์ศึกษา ใน โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่จ.ชุมพร ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงิน เสียหายกว่า 100 ล้าน ซึ่งทาง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ความสนใจในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะเป็นการหลอกลวงให้มีการโอนเงินเป็นจำนวนที่มาก
โดยได้มอบหมายให้ บช.สอท.เข้าไปร่วมดำเนินการสืบสวนสอบสวนด้วย ซึ่งมีความคืบหน้าไปพอสมควร จนทราบตัวผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเส้นทางการเงิน และผู้ที่เปิดบัญชีม้า ในกระบวนการแล้ว 50-60 ราย ตอนนี้กำลังประสานตำรวจภูธรภาค 8 ส่งสำนวนการสอบสวน ผู้เสียหาย และผู้ที่เกี่ยวข้องให้กับ บช.สอท. จากนั้นทาง บก.สอท.4 จะตั้งคณะกรรมดูแลคดีนี้ทั้งหมด ส่วน บก.สอท.5 จะทำหน้าที่ให้การสืบสวน สอบสวน ขยายผลต่อไป
ส่วนวิธีการหลอกลวงนั้น ยังคงใช้ลูกไม้เดิมๆ คือหลอกว่ามีการส่งพัสดุผิดกฎหมาย เมื่อคุณหมอทราบเรื่อง ก็โทรปรึกษาผู้เป็นแม่ จนสุดท้ายลหลงเชื่อ และมีการโอนเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งคดีนี้ผู้ก่อเหตุใช้วิธีข่มขู่ และอาศัยความรักของแม่ที่มีต่อลูก ส่วนลูกเองก็กลัวว่าตัวเองจะไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แถมกระบวนการนี้ยังมีการสวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหลายระดับ เพื่อเพิ่มความหน้าเชื่อถือ
ทั้งนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงในคดีนี้ คือ ผู้เสียหายทุกคนก็ต้องการได้เงินคืน ประกอบกับกระบวนการโอนเงินง่ายมาก ดังนั้นก่อนจะโอนเงินควรตรวจสอบตัวบุคคลให้ชัดเจนก่อน นอกจากนี้ในยุคปัจจุบันนอกจากการโอนเงินปกติแล้ว ยังมีการโอนเงินในลักษณะสกุลเงินเหรียญดิจิตอล ทำให้การตามเงินคืนค่อนข้างยาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อก่อนการโอนเงินออก ที่มีลักษณะผิดสังเกตุคือการโอนเงินจำนวน 2 ล้านขึ้นไป แต่ตอนนี้ทาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประสานไปยังเครือข่ายธนาคาร 21 ธนาคาร เพื่อปรับการเฝ้าระวังยอดเงินที่ต้องสงสัย เหลือเพียงหลักแสนเท่านั้น ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ
นอกจากนี้ อยากเตือนกับประชาชนทั่วไปว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่มีใช้สื่อโซเชียล หรือ โทรศัพท์ ในการประสานงานอย่างแน่นอน ทุกกระบวนการต้องเป็นการทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น