พ.ต.อ.วายุภักดิ์ วงศ์ศักดิรินทร์ ผู้กำกับ สภ. ชะอำ นำตัวนายคมสิทธ์ จังพานิช แฟนหนุ่ม “เจ๊นุช” ไปยังคอนโดมีเนียมติดชายหาดชะอำ เพื่อชี้จุดเกิดเหตุพร้อมกับพิสูจน์หลักฐานเพชรบุรีที่เข้ามาตรวจสอบหลักฐานภายในห้อง โดยพบรอยคราบเลือดจาง ๆ ตั้งเเต่ทางเข้าไปจนถึงในห้อง ซึ่งผู้เสียหายยืนยันว่าเป็นเลือดของเขาเเต่ถูกสั่งให้ทำความสะอาด ซึ่งได้ให้ชุดสืบสวนรวบรวมหลักฐานไว้เเล้ว ส่วนไม้ที่ใช้ทุบตีผู้เสียหาย นายคมสิทธิ์ ให้การว่าทิ้งไปแล้ว ซึ่งเป็นไม้ที่เอามาจากขาเก้าอี้ ส่วนที่ช็อตไฟฟ้าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เพราะ ส.ต.ท.หญิง พกมาจาก จ.ราชบุรี เเละทางตำรวจราชบุรียึดไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นเจ้าหน้าที่พาตัวนายคมสิทธิ์ ไปฝากขังต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี โดยนายคมสิทธิ์ มีสีหน้าและท่าทางเคร่งเครียด ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม พร้อมกับระบุว่า "เดี่ยวไปเจอกันที่ศาล"
ทั้งนี้ ทีมทนายความยื่นขอประกันตัวพร้อมพี่ชาย เเละมารดา ที่เตรียมเงินสดมาประกันตัว โดยพี่ชายยืนยันว่า ครอบครัวรับรุ้ว่าทั้ง 2 คบกัน เเต่ไม่ทราบพฤติกรรมของสิบตำรวจโทหญิงรายนี้ ส่วนการถูกดำเนินคดี น้องชายยอมรับว่าร่วมทำร้ายจริง เเต่เหตุเเละผลไม่ขอตอบ หากได้รับประกันตัวจะเดินทางกลับราชบุรีทันที พร้อมยอมรับว่ามีปืนในบ้านพักกว่า 20 กระบอก จริง เพราะนายคมสิทธิ์เป็นนักกีฬายิงปืน
ด้านทนายความพาผู้เสียหายมาที่ศาลจังหวัดเพชรบุรี เพื่อยื่นขอคัดค้านการประกันตัว โดยผู้เสียหายโชว์รอยเเผลที่เเขน ซึ่งเป็นเเผลที่ถูกซ็อตมาประมาณ 1 เดือน เเต่ยังเป็นรอยเเผล โดยยืนยันว่า “เจ๊นุช” จะพกเครื่องซ็อตไฟฟ้าติดตัวตลอด หากทำให้หงุดหงิดก็จะใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าทันที
สำหรับนายคมสิทธิ์ เข้ามามอบตัวด้วยตัวเอง เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจควบคุมตัวตาม ป.วิอาญา ส่วนการประกันตัวเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะประกันในชั้นศาล เบื้องต้นเเจ้งขัอหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นทำให้ถึงเเก่สาหัส ส่วนข้อกล่าวหาอื่นยังไม่พบการดระทำความผิด เเต่หากสอบสวนพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องจะเรียกมาเเจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม
ส่วนความกังวล หลังมีกระแสข่าวว่าผู้ถูกกล่าวหามีอิทธิพลเพราะเป็นหลานนักการเมืองในจังหวัดราชบุรีเเละเกรงว่าจะถูกข่มขู่ ยืนยันว่าไม่มีนักการเมืองรายใดโทรมากดดันการทำงานของตำรวจ ซึ่งจะทำคดีนี้อย่างตรงไปตรงมา
ขณะที่โลกโซเชียลต่างแชร์ภาพใบปริญญาปลอม “เจ๊นุช” โดยอดีตทหารหญิงให้ข้อมูลว่า “เจ๊นุช” เป็นคนสั่งให้นำเงิน 50,000 บาท เพื่อไปซื้อวุฒิการศึกษาดังกล่าว เนื่องจากได้รับคำสั่งจาก ส.ต.ท.หญิง เพื่อวางแผนในการฝากเข้ารับราชการ โดยมีรายงานว่ามีชื่ออยุ่ในมหาวิทยาลัยจริง เเต่ไม่พบว่าเคยไปเรียน
ล่าสุด ผศ.ดร.วิทยา เบ็ญจาธิกุล รองอธิการมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เปิดเผย ว่า การที่ผู้เสียหายออกมาให้ข้อมูลเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นการดิสเครดิตกันหรือไม่ แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า ส.ต.ท.หญิง เป็นนักศึกษาของทางมหาวิทยาลัยจริง เข้ามาศึกษาตั้งแต่ปี 2558 โดยใช้วุฒิปวส.เข้ามาสมัครเข้าเรียน จบการศึกษาในปี 2561 ส่วนการรับเข้าเรียนในคณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ผู้ที่จบวุฒิ ม.6 หรือ ปวส.ทุกสาย ก็สามารถสมัครเข้าเรียนได้ และจากการตรวจสอบในระบบพบว่า ส.ต.ท.หญิงรายนี้ จ่ายค่าเทอมจำนวน 158,228 บาทอย่างถูกต้อง และทางมหาวิทยาลัยออกให้เกรดให้อย่างถูกต้อง
ส่วนหลักการในการจ่ายเงินนั้น เมื่อจ่ายเงินแล้วจะเข้าระบบของมหาวิทยาลัยทันที เท่าที่ตรวจสอบไม่พบว่าฝ่ายการเงินไปรับเงิน แต่มหาวิทยาลัยจะไปตรวจสอบอีกครั้ง หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยไปรับเงินเพื่อแลกให้จบปริญญา จะดำเนินการให้ถึงที่สุด
“มหาวิทยาลัยเราใหญ่โต คงไม่เห็นแก่เงิน 50,000 บาท และที่ผ่านมามหาวิทยาลัยไม่เคยเสื่อมเสียชื่อเสียงในเรื่องนี้ และยืนยันว่าทางมหาวิทยาลัยไม่มีการซื้อขายปริญญาบัตรแน่นอน อย่างเงิน 50,000 บาท ที่พูดถึง เราไม่รู้ว่าอดีตทหารรับใช้นำไปใช้จ่ายอะไร อาจจะเป็นการจ่ายค่าเทอมหรือไม่ อย่าไปฟังผู้เสียหายเพียงอย่างเดียว และหากตำรวจต้องการตรวจสอบทางมหาวิทยาลัยยินดีที่จะให้ตรวจสอบ”