ถือว่าสร้างความฮือฮาให้กับผู้ที่ติดตามข่าวพอสมควรสำหรับคดีโจ้ถุงดำ คดีที่ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรืออดีต “ผกก.โจ้” ใช้คลุมถุงดำผู้ต้องหายาเสพติดจนเสียชีวิตคาโรงพัก จากกรณีที่วันนี้ (4 ส.ค.) กล่าวถึงกรณีที่ทางครอบครัวของ อดีต “ผกก.โจ้” ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์คดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เเละขอให้ศาลออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ตามที่ศาลได้ชั้นต้นมีคำพิพากษาประหารชีวิต อดีต ผกก.โจ้ แต่ลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต โดยระบุว่าผู้ต้องหารู้สึกสำนึกผิด (อ่านข่าว)
ภายหลัง ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้ที่เปิดเผยคลิปในคดีนี้ ได้โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ไม่เชื่อว่า อดีต ผกก.โจ้ จะสำนึกจริงตามที่กล่าวอ้าง โดยระบุว่า
ผมไม่เชื่อว่าผู้กำกับโจ้จะสำนึกผิดจริง เพราะเดือนก่อนยังขู่อาฆาตผมจากในเรือนจำ ว่าที่ต้องติดคุกเพราะผมเปิดคลิปนาทีสังหาร แต่ที่ผู้กำกับโจ้ไม่อุทธรณ์ และเยียวยาโจทก์ร่วม เพราะต้องการให้คดีถึงที่สุด เพื่อเข้าหลักเกณฑ์ได้รับอภัยโทษ หลายคนสงสัยว่าแบบนี้ผู้กำกับโจ้จะติดคุกจริงกี่ปี เป็นคนอื่นคงจะมี 15 ปี แต่ระดับผู้กำกับโจ้ผมว่าคงหวังว่าจะติดซัก 5 - 7 ปี ก็ออกมาลัลล้าได้แล้ว
นอกจากนี้ ทนายตั้ม ยังแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า อัยการโจทก์คงไม่อุทธรณ์ โจทก์ร่วมได้รับเงินเยียวยาคงจะไม่อุทธรณ์ จำเลยก็ไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด รอวันลดโทษ ถ้ามีบุญได้ออกมาไว อย่าทำอะไรที่ชั่วร้ายอีกนะ
เช่นเดียวกับ ทนายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความชื่อดังที่โพสต์ถึงกรณีดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยระบุว่า
แต่...ผมก็ไม่เชื่อว่า ที่อดีตผู้กำกับโจ้ ไม่อุทธรณ์ เพราะสำนึกผิด จริง ๆ
คนสำนึกผิดจริง คงไม่แถ ต่อสู้คดี ทั้ง ๆ ที่มีพยานหลักฐานชัดเจนขนาดนั้น
ผมเชื่อว่า เขาคงรู้ หรือ คาดหมายได้ว่า จะมีพระราชทานอภัยโทษเร็ว ๆ นี้
เพื่อให้มีสิทธิรับพระราชทานอภัยโทษ จึงต้องยอมเป็นนักโทษเด็ดขาดโดยไม่เต็มใจ มันคือ แผน 2
หลังจากไม่รอดแผน 1