ภูเก็ตระทึก! เร่งรับชายไทยต้องสงสัย เสี่ยงฝีดาษลิง ส่งรักษาตัวในรพ.ด่วน
ระทึกกันไปทั้งเมืองภูเก็ต หลังส่งรถรับชายไทยต้องสงสัยเสี่ยงฝีดาษลิงไปตรวจด่วน หลังพบว่ามีความเสี่ยงติดเชื้อโรคฝีดาษลิง หรือฝีดาษวานร ล่าสุด ลุ้นผลตรวจกันอย่างเป็นทางการ
ผู้สื่อข่าวรายงาน ส่งตรงจาก จ.ภูเก็ต มีกระแสข่าวรายงานว่า รถโรงพยาบาลถลาง รีบบึ่งไปรับตัวผู้ต้องสงสัยในพื้นที่ เร่งนำส่งโรงพยาบาล หลังสงสัยว่า มีชายไทยคนดังกล่าว โอกาสเสี่ยง เป็นโรคฝีดาษลิง หรือฝีดาษวานร
ความคืบหน้าล่าสุดได้มีการย้ายจาก รพ.ถลางไปส่งยังโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตแล้ว ซึ่งผู้สื่อข่าวระบุอีกว่า ในขณะปฏิบัติหน้าที่ ทางทีมเจ้าหน้าที่ได้มีการใส่ชุดป้องกันเชื้อโรคเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเส้นทางผ่านเป็นระยะๆ ก่อนนำส่งถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ทางแพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดต่อ ได้เข้าทำการตรวจและวินิจฉัยผู้ป่วยดังกล่าว เพื่อหาข้อสรุปว่าชายไทยผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าว เป็นผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงหรือไม่
สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ กรมควบคุมโรค ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตว่า พบผู้ป่วยสงสัยโรคฝีดาษวานร จากนั้นได้ส่งทีมปฏิบัติการสอบสวนควบคุมโรค (JIT) กองระบาดวิทยาและสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 นครศรีธรรมราช ลงพื้นที่สอบสวนโรคร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 พบว่า ผู้ป่วยเป็นเพศชาย สัญชาติไนจีเรีย อายุ 27 ปี มีประวัติเดินทางมาจากประเทศไนจีเรีย
ให้ข้อมูลการป่วยว่าเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนมีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก มีผื่นแดง ตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง เริ่มจากอวัยวะเพศลามไปใบหน้า ลำตัว แขน เก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อก่อโรค เบื้องต้นผลการตรวจ PCR พบเชื้อ Monkeypox virus โดยห้องปฏิบัติการที่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (TRC-EIDCC) และต่อมายืนยันโดยห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ช่วงบ่ายวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 และทีมสอบสวนควบคุมโรครวบรวมข้อมูลการสอบสวน ทั้งข้อมูลอาการทางคลินิก ข้อมูลระบาดวิทยาและข้อมูลห้องปฏิบัติการ เข้าพิจารณาในคณะกรรมการวิชาการ ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติในบ่ายวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ผลสรุปว่า เป็นผู้ป่วยยืนยันฝีดาษวานรที่พบในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
ผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี 22 ได้สอบถามทางด้านนายแพทย์กู้ศักดิ์ กู้เกียรติกูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต (สสจ.ภูเก็ต) ระบุว่า กรณีตรวจพบผู้ป่วยดังกล่าว ขออย่าตื่นตระหนก เพราะการติดต่อยาก เหมือนกับการเป็นอีสุกอีใส หากจะติดต่อได้จะต้องเป็นลักษณะของเนื้อแนบเนื้อ โดยคนที่เป็นจะต้องเป็นตุ่มหนองอยู่ด้วย หรือมีการไอจามใส่หน้า ซึ่งต้องเป็นละอองขนาดใหญ่ โดยจะแพร่เชื้อในช่วงที่มีแผล แต่หากแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อ
