หลังอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน เจอกระแสกดดันหนักจนต้องยื่นใบลาออกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ทำให้พรรคอนุรักษ์นิยมหรือทอรี่ต้องเข้าสู่กระบวนการสรรหาผู้นำคนใหม่ และหลังจากขับเคี่ยวกันระหว่างผู้สมัคร ทำให้ตอนนี้เหลือเพียง 2 คน คือ ริชชี่ ซูนัค อดีตรัฐมนตรีคลัง กับ ลิซ ทรัสส์ รัฐมนตรีต่างประเทศ แต่ดูเหมือนซูนัคที่มีคะแนนนำมาเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้ง 5 รอบที่ผ่านมา ต้องการจะเผด็จศึกให้เด็ดขาดด้วยการประกาศว่า ถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะเล็งจีนเป็น "ศัตรูหมายเลข 1" ในฐานะเป็นภัยคุกคามความมั่นคงสหราชอาณาจักรและต่อโลก
เขายังคิดที่จะ "ปิด" สถาบันขงจื๊อ (Confucius Institutes) 30 แห่งทั่วสหราชอาณาจักร เพื่อป้องกันการใช้ "soft-power" เผยแผ่อิทธิพลจีนผ่านโครงการวัฒนธรรมและภาษา, ให้คำมั่นว่าจะ "ขับไล่ CCP" (พรรคคอมมิวนิสต์จีน) ออกจากมหาวิทยาลัยของอังกฤษ โดยบังคับให้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา เปิดเผยเงินทุนจากต่างประเทศที่มีมูลค่ามากกว่า 50,000 ปอนด์ (2 ล้าน 1 แสนบาท), ทบทวนความเป็นร่วมมือด้านการวิจัย, ใช้หน่วยข่าวกรองในประเทศ (MI5) ต่อต้านการจารกรรมของจีน และจะเรียกร้องให้กลุ่ม G7 กลายเป็น "economic NATO" หรือ "NATO-style" เพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากจีนรวมทั้งในโลกไซเบอร์ และ จะคว่ำบาตรจีนในกรณีที่ไม่เล่นตามกฎสากล รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ที่จะขัดขวางไม่ให้จีนเข้าซื้อสินทรัพย์ที่สำคัญของอังกฤษ โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีที่มีความอ่อนไหวในทางยุทธศาสตร์ด้วย
ซูนัคอ้างว่า
"ที่บ้าน จีนขโมยเทคโนโลยีของเราและแทรกซึมมหาวิทยาลัยของเรา ขณะเดียวกันก็สนับสนุนวลาดิมีร์ ปูติน ในต่างประเทศ ด้วยการซื้อน้ำมันของรัสเซียตลอดจนพยายามกลั่นแกล้งเพื่อนบ้านรวมทั้งไต้หวัน"
เขายังโจมตีนโยบาย "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative) ด้วยว่า ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาติดกับดักหนี้มหาศาล
นับเป็นการปรับท่าทีของซูนัค หลังจาก "ทรัสส์" คู่แข่งสำคัญของเขา โจมตีเขาว่า "อ่อน" ทั้งต่อจีนและรัสเซีย ตอกย้ำรายงานของสื่อของทางการจีน "Global Times" ที่ว่า เขาเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวที่มี "มุมมองที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับจีน" และแท็บลอยด์ Daily Mail ที่เชียร์ทรัสส์ เรียกว่า "การรับรองที่ไม่มีใครต้องการ" ทั้งยังเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อแย่งคะแนนเสียงในระดับรากหญ้าจากทรัสส์ ที่มากถึง 200,000 คะแนน ส่วนเขาจะทำสำเร็จหรือไม่นั้นจะรู้ผลได้ในวันที่ 5 กันยายน