เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในแวดวงคอการเมือง กรณีที่วานนี้ (6 ก.ค.) ที่ประชุมร่วมรัฐสภา มีมติ 392 : 160 เสียง คว่ำสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของ กมธ.วิสามัญ แก้ไข ร่างพ.ร.ป.เลือกตั้ง ที่ใช้วิธีหาร 100 ไปใช้เป็นวิธีหารด้วย 500 โดยมีรายงานว่าป้องกันการแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย (อ่านข่าว)
ภายหลังที่รัฐสภามีมติดังกล่าว ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในส่วนของพรรคเพื่อไทยที่เทกแอคชั่นแรง ฟาดงวงฟาดงาอัด "บิ๊กตู่ - ส.ส.ซีกรัฐ" ที่ผ่านสูตร 500 ทำสภาอัปยศ รวมถึงเตรียมใช้กลยุทธแตกแบงค์ เตรียมแยกร่างตั้ง "พรรคครอบครัวเพื่อไทย"ต่อกรสูตรหาร 500" (อ่านข่าว)
ล่าสุดวันนี้ (7 ก.ค.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ถึงมติดังกล่าวของรัฐสภา โดยระบุว่า
เลือกตั้งจะหาร 100 หรือ 500 คงชี้ขาดกันที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่เห็นชัดจากเรื่องนี้ ซึ่งที่จริงเห็นมาตลอด 10 กว่าปี คือฝ่ายผู้มีอำนาจมองรัฐธรรมนูญ และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อเอาเปรียบฝ่ายตรงข้าม และเป้าหมายของการเอาเปรียบคือพรรคเพื่อไทย
แน่นอนว่าเพื่อไทยต้องคิดรับมือสถานการณ์ แต่ผมเห็นว่าที่ต้องคิดหนักกว่าคือคนไทยทั้งประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจ ร่างกติกาสืบทอดอำนาจ แก้ปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ 8 ปีผ่านไปวิกฤตทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม แต่ยังคิดจะอยู่ต่อ
ทีแรกนึกว่าพรรคกระแสสูง จึงแก้รัฐธรรมนูญเป็นบัตร 2 ใบหาร 100 พอเห็นว่าจะแพ้แลนสไลด์ก็แก้เป็นหาร 500 ขัดกับรัฐธรรมนูญที่ตัวเองเพิ่งแก้ไป เจตนาและพฤติกรรมฉ้อฉลเพื่ออำนาจเช่นนี้ ประชาชนจะตัดสินใจในการเลือกตั้งอย่างไร
เลือกตั้งบัตร 2 ใบหาร 100 คือการย้อนกลับไปสู่กติกาที่ถือว่าเป็นกลาง เพราะมาจากรัฐธรรมนูญ 40 ฉบับประชาชน ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ร่าง ไม่แฝงเจตนาเล่นงานพรรคไหน หรือสนับสนุนคนใดโดยเฉพาะ แต่ที่กำลังเป็นอยู่เท่ากับไม่มีกติกา จะกลับไปกลับมาอย่างไรก็ได้
ฝ่ายที่ยังสนับสนุนเรื่องแบบนี้อยู่ ฝากให้คิดเพิ่มอีกข้อเดียว ถ้าพรรคเพื่อไทยทำแบบที่ประยุทธ์ทำ ท่านรับได้หรือไม่