ภายหลังที่ทางเพจสายไหมต้องรอด ได้นำตัวผู้เสียหายเหยื่อแก๊งเงินกู้ดอกเบี้ยโหด เข้าพบตำรวจสน.มีนบุรีเพื่อให้เป็นตัวกลางในการเจรจากับเจ้าหนี้ ที่ผู้เสียหายกู้ยืมมาทั้งหมด 7 ราย โดยผู้เสียหายต้องการจะยืดเวลาในการชำระหนี้ เนื่องจากหาเงินไม่ทัน
ล่าสุด วันนี้( 7 กรกฎาคม 2565 ) ทางด้านผู้เสียหายเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมพร้อมกับชี้ภาพถ่าย และนำพยานหลักฐานมอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อใช้ประกอบการดำเนินกับแก๊งเงินกู้ที่เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยผู้เสียหายยืนยันว่ายังจะชดใช้หนี้ให้กับเจ้าหนี้ทั้งหมดรวม 65,000 บาทรวมทั้งดอกเบี้ย
“อยากให้ขอขยายเวลา และชดใช้ในอัตราที่เป็นธรรม เนื่องจากครอบครัวจำเป็นต้องอยู่บ้านเช่าหลังเดิมเพื่อส่งเสียให้ลูกทั้งสองได้เรียนหนังสือต่อ โดยนายจ้างที่เคยทำงานด้วยได้นำจักรเย็บผ้ามาให้ประกอบอาชีพ เพื่อประกอบอาชีพอีกครั้งรวมถึงสามีได้กลับไปวิ่งรถ 2 แถวตามเดิม ทำให้รู้สึกมีกำลังใจในการกลับมาใช้ชีวิต แต่ยังคงมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อุ่นใจที่ตำรวจส่งชุดสายตรวจไปดูแลตลอดเวลา อยากขอบคุณตำรวจและทุกภาคส่วนที่ให้ความช่วยเหลือ”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : “สายไหมต้องรอด” พาลูกหนี้ร้องตำรวจร่วมหาทางออก
ขณะ เจ้าหนี้ที่เข้ามอบตัว ระบุว่า ไม่ได้มีการข่มขู่ทำร้ายร่างกาย ตามที่เป็นข่าว แต่ยอมรับว่ามีการคิดดอกเบี้ยร้อยละ 60 ต่อเดือน ตนเห็นข่าวที่เกิดขึ้นกับทางลูกหนี้แล้วมีความรู้สึกสงสาร จึงยินดีที่จะลดเงินต้นให้จากเดิม 10,000 บาท เหลือ 5,000 บาท และให้ผ่อนชำระเดือน 1,000 บาท โดยไม่เรียกเก็บดอกเบี้ย และยืนยันไม่รู้จักกับเจ้าหนี้รายอื่น ส่วนเงินที่นำมาปล่อยกู้ ได้มาจากนายทุนอีกทอด
ด้านพ.ต.อ.รัฐศักดิ์ รักสลาม รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล ( รอง.ผบก.น.3 ) เปิดเผยว่า เจ้าหนี้ที่เดินทางมามอบตัวในวันนี้ รับสารภาพว่าปล่อยเงินกู้ให้กับผู้เสียหายจริง แต่ปฎิเสธไม่ได้ข่มขู่ หรือทำร้ายร่างกาย เบื้องต้นมีความผิด 2 ข้อหาคือ ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต และเรียกรับดอกเบี้ยเกิดอัตราที่กฎหมายกำหนด ขณะที่เจ้าหนี้้รายอื่น ๆ ตำรวจอยู่ระหว่างหาหลักฐานออกหมายจับ
"เจ้าหนี้บางรายอาจจะถูกดำเนินคดีถึง 6 ข้อหา เพราะมีพฤติกรรมข่มขู่ และบุกรุกเคหะสถาน นอกจากนี้ได้สั่งการสืบสวน เร่งติดตามขยายผลตรวจสอบว่าเจ้าหนี้ได้มีการปล่อยเงินกู้ให้กับรายอื่น ๆ อีกหรือไม่"