ความคืบหน้ากรณีที่วันนี้ (17 มิ.ย.) นายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน ผู้ต้องหาในคดีฆ่าสองผัวเมีย ซุกรถหรูที่ไต้หวัน เข้ามอบตัวที่ จ.เชียงใหม่ โดยตำรวจเตรียมนำมาตัวมาสอบสวนที่กองปราบในช่วงเย็นวันนี้ (อ่านข่าว)
ซึ่งกรณีดังกล่าว นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้เผยถึงการดำเนินคดี นายสันติ ว่า เรื่องนี้ถ้าทางฝ่ายผู้เสียหาย ได้แก่ญาติพ่อแม่พี่น้องของผู้เสียชีวิตทั้งสองขอให้ดำเนินคดีในไทย ก็จะสามารถดำเนินคดีกับนายสันติในประเทศไทยได้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 8 ที่ระบุว่า ความผิดที่เกิดนอกราชอาณาจักร ถ้าเป็นความผิดเกี่ยวกับชีวิต หรือฆ่าคนตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 และผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเป็นคนไทย ก็สามารถดำเนินคดีในประเทศไทยหรือศาลไทย และรับโทษในประเทศไทยได้
นายประยุทธ กล่าวว่า ส่วนการดำเนินการตามมาตรา 8 จะต้องมีการสอบสวน ซึ่งกระบวนการสอบสวนก็จะต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 ที่บัญญัติไว้ว่า "ความผิดนอกราชอาณาจักรอำนาจสอบสวนเป็น ของอัยการสูงสุด ซึ่งอัยการสูงสุดสามารถมอบหมายให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไปหรือให้พนักงานสอบสวนร่วมกับอัยการสำนักงานการสอบสวนได้"
แต่คดีนี้เกิดเหตุที่ประเทศไต้หวัน พยานหลักฐานแทบทั้งหมดจึงอยู่ที่ประเทศไต้หวัน กระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานจากประเทศต้นทางเพื่อเข้ามาในสำนวนการสอบสวน ถ้าหากจำเป็นต้องดำเนินการในส่วนนี้ทางสำนักงานอัยการสูงสุด มีสำนักงานอัยการต่างประเทศที่มีนายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ เป็นอธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ เป็นผู้ประสานความร่วมมือกับทางการไต้หวัน แต่เนื่องจากไทยกับไต้หวันไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน เนื่องจากไต้หวันเองก็มีปัญหาละเอียดอ่อนที่มีประเด็นกับประเทศจีนอยู่
การประสานความร่วมมือระหว่างเรากับไต้หวันในเรื่องทำนองนี้ จะผ่านสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยเองก็มีสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทยประจำไต้หวัน คอยประสานงานกันที่ผ่านมาการขอความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับไต้หวัน ก็ผ่านหน่วยงานดังกล่าวกันอยู่เป็นประจำ ในเรื่องนี้จึงไม่น่ามีปัญหา เมื่อการสอบสวนเสร็จแล้วสำนวนก็จะถูกส่งไปยังอัยการสูงสุดมีความเห็นเเละคำสั่ง เเละหากมีคำสั่งฟ้องก็จะมอบให้อัยการสำนักงานคดีอาญาเป็นผู้ยื่นฟ้องคดีที่ศาลอาญาต่อไป
เมื่อถามว่า หากทางการไต้หวันประสงค์จะขอตัวนายสันติ กลับไปดำเนินคดีเอง นายประยุทธ กล่าวว่าโดยหลักถ้าทางไต้หวันขอตัวส่งกลับไปก็จะเข้าสู่กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามเเดน ซึ่งเมื่อเราไม่มีสนธิสัญญา ก็ต้องไปใช้วิธีทางการทูตเรื่องถ้อยทีถ้อยอาศัยผ่านสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ที่กล่าวมาข้างต้น เเต่เรื่องนี้ตน เข้าใจว่าเป็นอำนาจของศาลไทย ผู้เสียหายเป็นคนไทยและผู้ถูกกล่าวหาก็เป็นคนไทยคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งไปดำเนินคดีที่ไต้หวัน เพราะสามารถดำเนินคดีในประเทศไทยได้ ตามที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 8 บัญญัติไว้
“คดีนี้ไม่ส่งผู้ร้ายข้ามเเดนเพราะมีกฎหมายดำเนินคดีในไทยได้อยู่เเล้ว คนถูกดำเนินคดีก็คนไทย ป.อาญา ม.8 เขียนไว้ชัดเจนให้พิจารณาในศาลไทยเเละอำนาจสอบสวนเป็นของอัยการสูงสุด และกระบวนการประสานงานต่อพยานหลักฐานสำนักงานอัยการต่างประเทศของประเทศไทยสามารถทำได้หมด” รองโฆษกอัยการกล่าว