วันนี้ (14 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวถึงการประชุมร่วมหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาต่อค่าครองชีพที่จะหมดอายุในเดือน มิ.ย. - ก.ค. ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง , ธนาคารแห่งประเทศไทย , สภาพัฒน์ฯ และกระทรวงพลังงาน กำลังพิจารณาร่วมกันว่า มาตรการต่อไปจะเป็นอย่างไร
สถานการณ์ที่เป็นอยู่จะยืดเยื้อแค่ไหน รวมถึงผลกระทบระดับโลกเป็นอย่างไร จะกระทบกับประเทศไทยอย่างไรบ้าง ซึ่งต้องประเมินว่า จะมีการดูแลมีมาตรการเพิ่มเติมอย่างไรในทุกด้าน เช่น การดูแลเรื่องราคาพลังงาน ค่าโรงกลั่น รวมถึงมาตรการดูแลครอบครัวที่เปราะบาง ก็จะมีมาตรการคล้ายกับรอบที่แล้ว
เมื่อถามว่า จะมีการขยายมาตรการที่ใช้ในขณะนี้ต่อไปใช่หรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เบื้องต้นจะดูรายมาตรการเพื่อนำมาพิจารณาว่า จะดำเนินการอะไรต่อ อะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็นแล้ว จะดูในภาพรวมทีละเรื่องผ่านการพิจารณาร่วมกัน ไม่ใช่กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง เพื่อให้ทันการพิจารณาของ ครม. ในเดือนนี้ให้ได้
อย่างไรก็ตาม มาตรการที่จะครบในเดือน มิ.ย. - ก.ค. นี้ จะต้องมีการพิจารณาเพิ่มขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่า รัฐบาลติดตามเรื่องนี้ตลอดเวลา และเมื่อถึงกำหนดที่ต้องทำก็จะทำเต็มที่ ตอนนี้ต้องคิดถึงเสมอว่าเราอยู่ในสภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งโควิด-19 สงครามรัสเซีย - ยูเครน จึงต้องการให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่า เรายังไม่หลุดจากภาวะวิกฤตโลก และเชื่อว่าวิกฤตพวกนี้ต้องมีวันจบ และเสถียรภาพการเงินการคลังของเรายังดีอยู่
เมื่อถามว่า กระทรวงการคลังจะไม่มีโครงการคนละครึ่งเฟส 5 แล้ว นายสุพัฒนพงศ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้รับทราบเรื่องนี้ เขาอาจจะไม่เรียกมาตรการคนละครึ่งแล้ว หรืออาจจะเรียกอย่างอื่นตนไม่ทราบ ต้องดูภาพรวม เมื่อถามว่า มาตราการคลังออกมาจะยังมีช่องทางที่จะกู้เงินได้เพิ่มอีกหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า น่าจะมีและหากจำเป็นก็ต้องทำ ตนคิดว่ารัฐบาลไม่ลังเลว่าจะกู้หรือไม่กู้ แต่เป็นเรื่องที่มองว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม หากบอกว่าจะทำก็ต้องทำ
เมื่อถามว่าขณะนี้ดีเซลจะมีการตรึงราคา 35 บาท จะมีการขยายตรึงราคาไปถึง 38 บาทหรือไม่นายพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ที่คุยกันเบื้องต้นจะไม่มีการปรับราคาจนกว่าจะมีมาตรการใหม่ แต่ก็มีการนำไปคุยว่า การที่เราจะขยับราคาดีเซลเกิน 35 บาท จะทำในช่วงนี้ได้หรือไม่ เพราะช่วงนี้อยู่ในช่วงโลว์ซีซั่น และจะค่อย ๆ ดีขึ้นในปลายปี อาจจะต้องมีการประคับประคองต่อไประยะหนึ่งเพื่อให้ประเทศเดินไปได้