รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ หรือ “หมอธีระ” คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Thira Woratanarat” เปิดรายงานองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ถึงสถานการณ์การแรพ่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ที่ออกมาระบุว่า โอมิครอน กลายเป็นสายพันธุ์หลักในการระบาด โดยมีสายพันธุ์ย่อยที่ต้องจับตา ส่วนสายพันธุ์เดลตาที่เคยระบาด ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด มีข้อความระบุว่า..
11 มิถุนายน 2565 เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 507,933 คน ตายเพิ่ม 1,166 คน รวมแล้วติดไป 539,666,503 คน เสียชีวิตรวม 6,329,520 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ สหรัฐอเมริกา เยอรมัน ไต้หวัน บราซิล และเกาหลีเหนือ
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 6 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 60.51 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 59.51 การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 33.21 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 25.38
สถานการณ์ระบาดของไทย
จากข้อมูล Worldometer เช้านี้พบว่า จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 13 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย แม้สธ.ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.จนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปมากก็ตาม
ทั้งนี้จำนวนเสียชีวิตของไทยคิดเป็น 8.1% ของทวีปเอเชีย หากปรับตามคาดประมาณสัดส่วนของคนที่มีโรคร่วมเหมือน UK จะเป็น 11.4%
Update Omicron
องค์การอนามัยโลก ออกรายงาน WHO Weekly Epidemiological Report เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมาจากการติดตามสายพันธุ์ไวรัส พบว่า เดลตาเหลือน้อยมาก จนทำให้ WHO ประกาศว่า เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลที่เคยระบาด (previously circulating VOC) เช่นเดียวกับอัลฟา เบตา และแกมมา อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่าจะกลับมาระบาดเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ ยังคงต้องเฝ้าระวังป้องกันให้ดี
สำหรับ Omicron นั้น BA.1, BA.3 นั้นน้อยมาก สายพันธุ์ที่ยังครองสัดส่วนสูงสุดคือ BA.2 และ BA.2.x ซึ่งครองอยู่ราว 44% และ 19% ตามลำดับ
แต่ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือ BA.2.12.1, BA.4, และ BA.5 โดย BA.2.12.1 (พบครั้งแรกในอเมริกา) ขณะนี้ครองสัดส่วนการระบาดสูงถึง 28% และตรวจพบแล้วใน 53 ประเทศ
ในขณะที่ BA.5 พบใน 47 ประเทศ มีสัดส่วน 5% และ BA.4 พบใน 42 ประเทศ มีสัดส่วน 2%
ทั้งนี้ทั้งสามสายพันธุ์ย่อยที่กล่าวมา พบว่ามีสมรรถนะการแพร่ได้เร็วขึ้น และหลบหลีกภูมิคุ้มกันมากขึ้นกับสายพันธุ์ก่อนหน้า
ข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้ชี้ให้เห็นว่า BA.4 และ BA.5 น่าจะมีความรุนแรงของโรคไม่ต่างจากเดิม ส่วน BA.2.12.1 นั้นยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปเรื่องความรุนแรงของโรคได้
สำหรับไทยเรา ทุกระลอกที่ผ่านมา จะตามหลังจากประเทศอื่นๆ ที่แพร่ระบาดมาก่อนราว 6-8 สัปดาห์ ยิ่งในปัจจุบัน มิได้มีการรายงานจำนวนติดเชื้อใหม่แต่รายงานเฉพาะที่ป่วย รวมถึงการตรวจคัดกรองโรคในระบบก็ลดลงมาก หากไม่ป้องกันตัวให้ดี เวลามีการระบาดปะทุขึ้นมา กว่าจะทราบเวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้วได้ความใส่ใจสุขภาพของตนเอง รักตนเอง ป้องกันตนเอง เป็นสิ่งสำคัญ
หากเฮโลสาระพาตามกระแสกิเลส ถอดหน้ากากทิ้ง แล้วไปทำกิจกรรมเสี่ยง ไปอยู่ในสถานที่เสี่ยง ก็จะติดเชื้อแพร่เชื้อกันได้มาก อย่าลืมว่าสถิติรายวันของไทยยังติดอันดับต้นๆ ของโลกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นแม้ว่าจะปรับการรายงานจนตัวเลขลดลงไปมากแล้วก็ตาม สถานการณ์จริงจึงยังไม่ควรไว้วางใจ
“ โควิด ไม่จบแค่หาย แต่ป่วยได้ตายได้และเสี่ยงต่อภาวะ Long COVID ที่จะบั่นทอนคุณภาพชีวิต สมรรถนะในการใช้ชีวิตและการทำงาน รวมถึงเป็นภาระค่าใช้จ่ายทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และสังคม การใส่หน้ากากเวลาออกไปตะลอนนอกบ้านนั้นเป็นหัวใจสำคัญที่ควรทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ” หมอธีระ กล่าวในตอนท้าย