ปรับขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง สำหรับ “น้ำมัน” ที่กำลังเป็นปัญหาของผู้ใช้รถใช้ถนนทั่วประเทศ จนเกิดเสียงวิพาก์วิจารณ์ต่อการควบคุมราคาของรัฐบาล ที่โดนโจมตีอย่างหนักนั้น
ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก “ไทยคู่ฟ้า” เผยแพร่ภาพกราฟฟิก เปรียบเทียบราคา “น้ำมัน” ประจำวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา ของประเทศไทย และชาติอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งพบว่า “สิงคโปร์” มีราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซลแพงที่สุด โดยเบนซินอยู่ที่ราคาลิตรละ 83.25 บาท ดีเซลลิตรละ 77.00 บาท
รองลงมาเป็นประเทศลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เมียนมา และไทย โดยมีบรูไน อยู่รั้งท้ายกราฟิกเปรียบเทียบ ซึ่งราคาเบนซินอยู่ที่ลิตรละ 13.25 บาท ส่วนดีเซลลิตรละ 7.75 บาท
นอกจากนี้ทางเพจยังระบุข้อความประกอบว่า ไขที่มา...ทำไมราคาน้ำมันไทย-อาเซียนถึงต่างกัน? สถานการณ์ราคาพลังงานตลาดโลกที่ยังผันผวนต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก นายกรัฐมนตรี มีข้อห่วงใย และกำชับทุกฝ่ายสร้างการรับรู้ให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ในเรื่องราคาน้ำมันของไทย โดยย้ำว่าราคาน้ำมันไทยไม่ได้แพงที่สุดในอาเซียน และรัฐบาล ให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
กระทรวงพลังงาน ชี้แจงว่าท่ามกลางสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เป็นเหตุให้อุปทานพลังงานลดลง ประกอบกับสถานการณ์โควิดในหลายประเทศดีขึ้น ทำให้ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิงและค่าครองชีพของประชาชนที่ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก
หากเปรียบเทียบราคาน้ำมันของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่นำเข้าน้ำมันเช่นเดียวกับประเทศไทย มีต้นทุนเนื้อน้ำมันไม่ต่างกันมากนัก เพราะราคาที่ซื้อ-ขาย จะอ้างอิงจากราคาตลาดโลก
แต่ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันที่ขายในแต่ละประเทศแตกต่างกันก็คือ โครงสร้างน้ำมันของแต่ละประเทศ ที่แต่ละประเทศมีมาตรการภาษี และระบบการเก็บเงินเข้ากองทุนหรืออุดหนุนราคาพลังงานที่แตกต่างกัน ซึ่งประเทศมาเลเซียหรือบรูไน มีราคาน้ำมันถูกกว่าประเทศอื่นๆ เพราะเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน จึงไม่ได้เก็บภาษีส่วนนี้
ในส่วนของประเทศไทย รัฐบาลได้ดูแลราคาน้ำมันมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลรวมถึงการลดภาษี และล่าสุดได้ลดการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของน้ำมันกลุ่มเบนซิน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน