ขณะเดียวกันยังได้รับอานิสงส์จากโควิด-19 ที่คลี่คลาย การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ดี และการใช้จ่ายที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องรวมทั้งการพิจารณาร่างงบประมาณปี 2566 ที่ผ่านวาระแรกไปแล้ว ขณะนี้อยู่ในชั้นของกรรมาธิการพิจารณา เชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจว่าภาครัฐยังมีการใช้จ่ายและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนสำคัญผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2565 และปี 2566 อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ราคาอาหารสูงขึ้น รวมถึงสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังต้องติดตาม
ทั้งนี้ ยอมรับว่า ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด ส่งผลให้ไทยจำเป็นต้องกู้เงิน เพื่อช่วยเหลือ เยียวยาดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว รวม 1.5 ล้านล้านบาท ดังนั้นสิ่งที่เป็นโจทย์ของรัฐ คือ การรักษาวินัยการเงินการคลัง ดังนั้นหลังจากนี้เชื่อว่าการใช้จ่ายโดยเฉพาะของภาครัฐจะไม่เหมือนเดิม เพราะมีเงื่อนไขคือการใช้หนี้จากเงินกู้ และการสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นกับประเทศ นอกเหนือจากภาคการส่งออกและท่องเที่ยว นโยบายสำคัญที่หลายประเทศ จะเร่งดำเนินการรวมถึงไทย คือ การปรับโครงสร้าง การจัดเก็บรายได้ โดยเฉพาะการหาฐานภาษีใหม่ การจัดเก็บภาษีใหม่ๆ โดยสิ่งที่อยู่ระหว่างการดำเนินการขณะนี้ คือ การจัดเก็บภาษีแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรม
ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ย จะเป็นผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยตามหรือไม่นั้น มองว่า เรื่องดังกล่าว เป็นสิ่งที่ธปท.พิจารณา โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งเชื่อว่าจะต้องพิจารณาความเหมาะสม และสร้างความสมดุลทั้งเงินไหลเข้าและเงินไหลออก รวมถึงพิจารณาว่า เศรษฐกิจฟื้นเต็มที่หรือไม่ และดอกเบี้ยต้องไม่ปรับเพิ่มสูงเร็วเกินไป
3 เรื่องที่อยากจะให้เกิด คือ 1.การเติบโต 2.เสถียรภาพ และ 3.การลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นสามโจทย์ที่ยากมาก เพราะเราต้องการเติบโตสูง แต่เสถียรภาพเงินเฟ้อตอนนี้ล่าสุด 7.1% เรารับได้หรือไม่ หนทางที่ดีคือต้องบาลานซ์ด้านนโยบายการเงินการคลังก็ต้องทำอย่างสอดประสานกัน