บิ๊กล็อต"เรือดำน้ำ-ยูเอวี-F-35"เข้าคิวถูกซักฟอก 

การจัดซื้อที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ก็มีปัญหา โดยเฉพาะ ยุทโธปกรณ์สำคัญ 3 ชนิดที่กองทัพกำลังตั้งงบจัดซื้อ บางชนิดก็จ่ายเงินไปแล้ว 

1.เรือดำน้ำ ชั้นหยวนคลาส S-26T จากจีน ปรากฏว่าไม่สามารถติดตั้งเครื่องยนต์ของเยอรมนีได้ตามสัญญาที่ทำกันไว้ ทำให้เรื่องนี้มีปัญหา เพราะผิดสัญญา ยังไม่รู้จะมีทางออกอย่างไร แถมเรือดำน้ำจีนก็ไม่ได้เป้าหมายแรกที่กำลังพลของกองทัพเรืออยากได้ แต่จีนใช้แผนการตลาด "ซื้อ 2 แถม 1" ทำให้ไทยตัดสินใจซื้อ แม้จะมีกระแสคัดค้านอย่างกว้างขวาง

ข้อมูลจากฝ่ายค้านระบุว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีบทบาทอย่างสูง ตั้งแต่สมัยเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงในรัฐบาล คสช. และลูกหลานของคนใกล้ชิดก็เป็นนายหน้าขายเรือดำน้ำด้วย 

2.อากาศยานไร้คนขับ หรือ ยูเอวี ใช้ตรวจการณ์ชายฝั่งของกองทัพเรือ รุ่น HERMES 900 ราคากว่า 4 พันล้านบาท / โดน ส.ส.เพื่อไทย แฉกลางสภาว่ามีการวิ่งเต้นเปลี่ยนสเปค ไม่ให้มีอาวุธติดบนยูเอวี แล้วจะเพิ่มจำนวนเครื่องจาก 3 ลำ เป็น 7 ลำ งบประมาณเท่าเดิม

แต่มีการทักท้วงว่า ราคายังแพงกว่าที่ประเทศอื่นซื้อครึ่งต่อครึ่ง มีเงินหล่นเป็นพันล้านหรือไม่ ยังไม่นับเรื่องประวัติอุบัติเหตุตกของยูเอวีที่ฝ่ายค้านนำมาแฉด้วย 

ซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ชี้แจงบนเวทีอภิปรายงบประมาณประเด็นเดียว คือ เรื่องยูเอวีที่มีประวัติตกบ่อย โดยบอกว่าไม่ใช่รุ่นเดียวกับที่กองทัพเรือไทยซื้อ 

3.เครื่องบินขับไล่ F-35 ของบแล้วในปีนี้ แต่กลายเป็นการจัดซื้อเครื่องเปล่า ไม่มีอาวุธ โดยให้เหตุผลเรื่องการประหยัดงบ และไม่ต้องการให้กระทบกับเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็ถูกฝ่ายค้านตั้งคำถามเรื่องราคา แพงเกินไปหรือไม่ ในฐานะเครื่องเปล่า และคุ้มค่าในระยะยาวหรือไม่ 

เรื่องนี้ พล.อ.ชัยชาญ ชี้แจงเน้นถึงความจำเป็นที่ต้องซื้อ เพราะเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศไทย ปลดประจำการเกือบหมดภายในทศวรรษ 2570 ส่วนกองทัพอากาศ ใช้วิธีพาเด็กๆ เยาวชน ไปดูหนังเรื่อง "ท็อปกัน มาร์เวอร์ริค" หวังจุดประกายความอยากเป็นนักบิน จะได้ไม่ต่อต้านเครื่องบินรบของ ทอ.