เมื่อวันที่ 24 เม.ย. เวลา 13.00 น. ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี พรรครวมพลังประชาชาติไทย จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 ในช่วงบ่ายที่ประชุมได้มีการพิจารณาในวาระที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค พิจารณาชื่อและตราประทับ(โลโก้พรรค) ซึ่งสร้างความฮือฮาให้ที่ประชุมเมื่อมีการขอให้เปลี่ยนชื่อพรรคใหม่ที่ได้รับการรับรองคือชื่อ "พรรครวมพลัง (Action Coalition Party )" สำหรับตราสัญญลักษณ์พรรคนั้น ใช้สัญลักษณ์เป็นรูปพญานาคสีเหลือง มี ลายเส้นสีม่วง มีตัวอักษร "พ" สีเหลือง วางอยู่กึ่งกลางเหนือลำตัวพญานาค พื้นหลังพญานาคเป็นวงกลมสีม่วง ล้มรอบด้วยวงกลมสีขาว มีตัวอักษาชื่อ "พรรครวมพลัง" ด้านบน และชื่อภาษาอังกฤษ Action Coalition Party อยู่ด้านล่างและมีขอบสีม่วงล้อมรอบวงสีขาวอีกชั้น
ทั้งนี้ความหมายของสัญลักษณ์ดังกล่าวมีการอธิบายว่า ภาพรวมเป็นสัญลักษณ์แห่งการรวมพลังอันยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยเพื่อพิทักษ์ธรรม
นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) และหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าวว่า การเปลี่ยนชื่อพรรค เป็น"พรรครวมพลัง" เพราะชื่อพรรครวมพลังประชาชาติไทยตอนต้นเป็นการทำให้ครบเนื้อหาสาระที่สุด แต่คนจำยาก เราก็เลยตัวเหลือพรรครวมพลัง
ส่วนสัญลักษณ์หรือตราพรรคของเดิม ก็สวยงาม แต่ตอนนี้เราต้องเลือกตั้งครั้งหน้า น่าจะมีพรรคการเมืองเพิ่มขึ้นอีก ก็จำเป็นที่จะต้องมีวิธีบอกประชาชนว่าไปเลือกพรรคที่มีสัญลักษณ์ที่ประชาชนเห็นได้ชัด จึงจะทำสัญลักษณ์เป็นพญานาคเพราะมีพลังและปกป้องพระพุทธเข้าได้ จึงเป็นสัญลักษณ์ว่าพรรคเราจะพิทักษ์ธรรม พิทักษ์สิ่งที่ถูกต้อง ส่วนตัวย่อจะใช้คำว่า "ร.พ." ซึ่งจะทำให้ประชาชนจำง่ายขึ้น
ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงโลโก้ และชื่อพรรคใหม่ ว่าการเปลี่ยนชื่อพรรคใหม่ก็เพื่อที่จะให้เกิดการจำที่ง่ายขึ้น ส่วนชื่อเก่านั้นยาวไป ชื่อใหม่ก็จำง่ายชึ้นดูมีชีวิตชีวา และเชื่อว่าคงไม่มีการดราม่าเกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ปรึกษาพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองหลังจากนี้ว่า เรื่องการเมืองไม่มีใครทำนายอนาคตได้ เราต้องยอมรับว่าเกิดอะไรขึ้นในทางการเมืองได้ตลอดเวลา แต่ตนมองในมุมดีๆ คิดว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะอยู่ตครบสมัย เพราะยังมีงานสำคัญของประเทศที่รัฐบาลต้องทำต่อเนื่องให้เรียบร้อย โดยเฉพาะการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ถ้าเปลี่ยนรัฐบาลตอนนี้รัฐบาลมาใหม่ก็เหนื่อย ซึ่งเรื่องนี้คิดว่าทุกคนเข้าใจ นอกจากนั้นขณะนี้ยังอยู่ระหว่างช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการแก้ปัญหาที่มีผลจากโควิด ทั้งปัญหาโรคระบาดและปัญหาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องการรัฐบาลที่มีความต่อเนื่องพอสมควร เวลาที่เหลือประมาณ 1 ปีคิดว่าน่าจะทำให้รัฐบาลสามารถแก้ปัญหาและพร้อมสำหรับรัฐบาลต่อไปที่จะมารับช่วงต่อ ทั้งนี้ตนคิดว่าไม่ว่าในวงการเมืองจะคิดอย่างไรก็ตาม แต่ทุกคนก็ต้องคิดถึงประเทศชาติและบ้านเมืองในภาพรวม
แต่ขณะเดียวกันในภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองนักการเมืองตกต่ำลงในสายตาประชาชน ก็เป็นโอกาสดีสำหรับพรรคการเมืองใหม่ๆ ที่จะเสนอทางเลือกใหม่ นโยบายใหม่ ตัวบุคลากรใหม่ให้ประชาชนพิจารณา ซึ่งจะทำให้พรรคการเมืองเก่าต้องปรับตัวเร็วขึ้น ซึ่งถ้ามองในแง่ดีตนคิดว่าทุกอย่างต้องเดินไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลจะสามารถผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปได้หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า คิดว่าน้อยครั้งในสภา ที่รัฐบาลจะถูกอภิปรายไม้ไว้วางใจแล้วแพ้คะแนนเสียงในสภา หากดูประวัติศาสตร์แทบจะไม่มี ที่สำคัญคือคะแนนเสียงของประชาชนทั่วไป ประเด็นที่รัฐบาลถูกอภิปรายหากประชาชนเชื่อฝ่ายค้าน หรือเห็นด้วยว่ารัฐบาลบกพร่องในประเด็นนั้น อย่างนี้อันตราย แต่เรื่องคะแนนเสียงของรัฐบาลตนยังไม่เคยเห็นว่าจะมีปัญหา แม้ครั้งที่แล้วจะมีปัญหาและหวุดหวิดพอสมควร แต่คราวนี้ตนก็คิดว่ารัฐบาลน่าจะไปได้เพราะยังไม่เห็นประเด็นอะไรที่คิดว่าประชาชนไม่ชอบใจ
เมื่อถามอีกว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้ายังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯอีกหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่าพูดกันตรงๆว่าวันนี้ยังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จนกระทั่งจบเทอม หลังจากนั้นก็ต้องมาดูกันต่อ ซึ่งตนก็ไม่มีบทบาทอะไร เป็นแค่สมาชิกพรรคคนหนึ่ง แต่ในใจก็ต้องดูสถานการณ์หลังจากนี้ สถานการณ์ในช่วงเลือกตั้งว่าจะเป็นอย่างไร